วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
Journal of the Psychiatrist
Association of Thailand
ISSN: 0125-6985
บรรณาธิการ มาโนช หล่อตระกูล
Editor: Manote
Lotrakul, M.D.
อนุพงษ์
สุธรรมนิรันด์ พ.บ.* Anupong Suthamnirand, M.D.*
อุไรวรรณ
แก่นจันทร์ ป.พย.* Uraiwan Kaenchen, Dip. N.S.*
ลักษณา
พงษ์ภุมมา วทม. (จิตวิทยาการให้คำปรึกษา)** Laksana Pongpumma, M.S.(Counseling
Psychilogy)**
วัลลิยา
สุวรรณโชติ กศ.ม, น.บ.*** Wanliya Suwanachoti, M.Ed., LL>B.***
Abstract
Objective To compare
self-esteem and depression in adolescent amphetamine users and non-users.
Method Thirty-four
secondary school students who use amphetamines without addiction
from a school in Chonburi Province were selected as the sample of
the study. Self-esteem and depression of the sample was assessed
with the Thai versions of the Five-Point Rating-Scale Test of Self-esteem
for Children (FSC) and the Childrens Depression Inventory. The
results obtained from the sample were then compared with those from
a group of students who were non-users of amphetamine (n=42).
Results Self-esteem
of adolescent amphetamine users was significantly lower than that
of non-users (p=0.012), especially in the education, family, and
overall attitude subscales. In addition, it was found that prevalence
of depression among amphetamine users (32.3 percent) was higher
than among non-users (21.4 percent). However, the total CDI scores
and subscale scores between amphetamine users and non-users were
not statistically significantly different.
Conclusions Low self-esteem
is strongly related to the use of amphetamine among adolescents.
Therefore, promotion of psychological well-being through child rearing,
family, and school should be urgently carried out as a necessary
preventive and treatment measure.
J Psychiatr Assoc Thailand
2001; 46(1):3-12.
Key words: self-esteem,
depression, adolescents, amphetamine
* Department of Psychiatry,Chonburi
Hospital, Chonburi 20000
** Boromarajonnani College
of Nursing, Chonburi 20000
*** Chonburi Provincial of
General Education Office, Chonburi 20000
บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์
เพื่อศึกษาความภูมิใจแห่งตนและภาวะซึมเศร้าในกลุ่มนักเรียนวัยรุ่นที่ใช้ยาบ้าเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ใช้
วิธีการศึกษา คัดเลือกกลุ่มนักเรียนชั้นมัธยมโรงเรียนหนึ่งในจังหวัดชลบุรี
ที่ใช้ยาบ้าโดยไม่มีอาการติด นำมาทดสอบโดยใช้เครื่องมือเป็นแบบสอบถามลักษณะทั่วไป,
Five-Scale Test of Self-Esteem for Children (FSC) ฉบับภาษาไทย และ
Childrens Depression Inventory (CDI) ฉบับภาษาไทย แล้วเปรียบเทียบกับกลุ่มนักเรียนที่ไม่ใช้ยาบ้า
ผลการศึกษา กลุ่มนักเรียนที่ใช้ยาบ้า
(n = 34) มีความภูมิใจแห่งตนต่ำกว่ากลุ่มนักเรียนที่ไม่ใช้ยา (n =
42) อย่างมีนัยสำคัญ ในด้าน subscale มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเฉพาะ
การศึกษา ครอบครัว และมุมมองรวม พบภาวะซึมเศร้าในกลุ่มใช้ยาบ้า (ร้อยละ
32.3) สูงกว่ากลุ่มไม่ใช้ยา (ร้อยละ 21.4) แต่ในด้านคะแนนรวมของ CDI
และ subscale ไม่พบว่ามีความแตกต่างกันของทั้ง 2 กลุ่ม
สรุป ความภูมิใจแห่งตนต่ำมีความสัมพันธ์กันกับการใช้ยาบ้าในวัยรุ่น
การส่งเสริมสุขภาพจิตด้านการเลี้ยงดูเด็ก ด้านครอบครัวและด้านโรงเรียน
มีส่วนช่วยป้องกันและรักษาปัญหายาเสพย์ติด สมควรที่จะให้ความสำคัญและส่งเสริมอย่างเร่งด่วน
วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
2544; 46(1):3-12.
คำสำคัญ ความภูมิใจแห่งตน
ภาวะซึมเศร้า วัยรุ่น ยาบ้า
* กลุ่มงานจิตเวช โรงพยาบาลชลบุรี
ถนนสุขุมวิท อำเภอเมือง ชลบุรี 20000
** วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี
ชลบุรี ตำบลบ้านสวน อำเภอเมือง ชลบุรี 20000
*** สำนักงานสามัญศึกษาจังหวัดชลบุรี
ถนนวชิรปราการ อำเภอเมือง ชลบุรี 20000
บทนำ
รายงานจากกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข1
พบว่าในปี พ.ศ.2541 มีผู้ใช้สารเสพย์ติดและเข้ารับการบำบัดรักษาในสถานบำบัดที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย
จำนวน 73,079 ราย เป็นผู้ใช้สารแอมเฟตามีน จำนวน 18,094 ราย คิดเป็นร้อยละ
25 ของผู้ใช้สารเสพย์ติดทั้งหมด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
(ปปส.) ร่วมกับสำนักวิจัยเอแบคเคเอสซีอินเตอร์เนตโพลล์2
ทำการสำรวจข้อมูลการระบาดของยาเสพย์ติดในกลุ่มนักเรียนและนักศึกษา
สังกัดกระทรวงศึกษาธิการและมหาดไทยทั่วประเทศ ในช่วงกลางปี พ.ศ.2542
พบว่ามีนักเรียน นักศึกษา ที่ใช้ยาเสพย์ติดจำนวน 663,290 คน หรือร้อยละ
12.36 ของทั้งหมด โดยเป็นการใช้สารแอมเฟตามีนมากที่สุดถึงร้อยละ 7.09
ของนักเรียน นักศึกษาทั้งหมด จึงเห็นได้ว่าการระบาดของการใช้สารเสพย์ติดแอมเฟตามีน
นับว่าแพร่หลาย ลุกลามและอันตรายต่อกลุ่มวัยรุ่นไทยเป็นอย่างมาก สมควรที่จะได้ช่วยกันศึกษาเพื่อหาทางป้องกันและบำบัดรักษาต่อไป
ในด้านสาเหตุปัจจัยและความเสี่ยงที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดอย่างมากของสารเสพย์ติดพบว่ากลุ่มวัยรุ่นที่ใช้ยาโดยไม่มีอาการเสพติด
(drug use) มีความสัมพันธ์ของการใช้กับปัจจัยทางกลุ่มเพื่อนและสังคมรอบข้าง
ขณะที่กลุ่มติดสารเสพย์ติด (substance use disorders) มีความสัมพันธ์ของการใช้ยากับปัจจัยทางชีวภาพและจิตใจ3
สาเหตุที่ทำให้วัยรุ่นใช้สารเสพย์ติด มีสาเหตุจากสภาพสังคม วัฒนธรรม
สภาวะของวัยรุ่นเอง เช่น พันธุกรรม บุคลิกภาพ การตอบสนองต่อยาที่ใช้
และสภาพของสิ่งแวดล้อมใกล้ตัว เช่น ครอบครัว เพื่อน เป็นต้น4
พื้นฐานทางอารมณ์ (temperament) มีส่วนสำคัญในการควบคุมอารมณ์
ความรู้สึก และมีส่วนทำให้วัยรุ่นเสี่ยงต่อการใช้สารเสพย์ติด5
Giancola และคณะ6 รายงานว่ากลุ่มวัยรุ่นที่เสี่ยงต่อการใช้ยาเป็นกลุ่มที่มีความเบี่ยงเบนทางความคิด
(cognitive dysfunction) มีความผิดปกติในการควบคุมตนเอง (selfregulation)
ขาดการวางแผน การตัดสินใจ และขาดเหตุผล จึงสรุปได้ว่าปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการใช้สารเสพย์ติด
เกิดจากปัจจัยทางด้านชีววิทยา ด้านจิตใจ ด้านสังคมสิ่งแวดล้อม ซึ่งเกี่ยวข้องกันอย่างแยกไม่ออก
เนื่องจากมีความสัมพันธ์เสมือนลูกโซ่7
ความภูมิใจแห่งตน (self-esteem)
และภาวะซึมเศร้า (depression) มีส่วนสัมพันธ์กับวัยรุ่นที่ใช้สารเสพย์ติดอย่างไรบ้าง
ความภูมิใจแห่งตนเชิงบวก (positive self-esteem) เป็นปัจจัยที่ช่วยป้องกันให้วัยรุ่นห่างจากสารเสพย์ติด8,9
วัยรุ่นที่มีความภูมิใจแห่งตนต่ำ (low self-esteem) จะมีส่วนสัมพันธ์กับการใช้สารเสพย์ติดทั้งในแง่ความเสี่ยงและผลแทรกซ้อนหลังการใช้สารเสพย์ติด10-12
Lewinsohn และคณะ13 ศึกษาเด็กวัยรุ่นที่ติดสารเสพย์ติด
พบว่ามีอาการร่วมของกลุ่มอาการซึมเศร้า กังวลใจ รวมทั้งโรคและปัญหาทางพฤติกรรมได้สูงกว่าเด็กวัยรุ่นปกติ
Bukstein และคณะ14 ใช้แบบทดสอบ KSADS ในวัยรุ่นที่ติดสารเสพย์ติดจำนวน
156 คน พบว่ามีอาการร่วมเป็นโรคซึมเศร้า (major depressive disorder)
ถึงร้อยละ 31 วาสนา พัฒนกำจร15 ศึกษาวัยรุ่นที่ใช้ยาบ้าและมารับการรักษาในโรงพยาบาลราชบุรีจำนวน
100 คน พบภาวะซึมเศร้าร่วมด้วยร้อยละ 17
การใช้สารเสพย์ติดชนิดแอมเฟตามีนของวัยรุ่นประเทศไทย
นับเป็นปัญหาทั้งทางสาธารณสุข และนโยบายระดับชาติที่จะต้องช่วยกันป้องกัน
รักษา ฟื้นฟูและแก้ไขปัญหา การศึกษาถึงความสัมพันธ์ของผู้ใช้สารเสพย์ติดต่อความนับถือตนเองและภาวะซึมเศร้า
เพื่อที่จะหาปัจจัยที่ส่งเสริมป้องกัน รวมทั้งรักษาฟื้นฟูวัยรุ่นให้ห่างไกลจากสารเสพย์ติด
นับว่าเป็นเรื่องสำคัญในการวางแผนแก้ไขปัญหาทั้งระดับสาธารณสุขและระดับชาติ
การศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อการศึกษาความภูมิใจแห่งตนและภาวะซึมเศร้าในกลุ่มวัยรุ่นที่ใช้สารเสพย์ติดชนิดแอมเฟตามีน
2) เพื่อเปรียบเทียบความภูมิใจแห่งตนและภาวะซึมเศร้าในกลุ่มวัยรุ่นที่ใช้สารเสพย์ติดชนิดแอมเฟตามีนกับกลุ่มที่ไม่เคยใช้
วัสดุและวิธีการ
ประชากรที่ศึกษา ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาของโรงเรียนแห่งหนึ่งในสังกัดกรมสามัญศึกษา
จังหวัดชลบุรี ในปีการศึกษา 2542 ที่มีประวัติจากครูฝ่ายปกครองของโรงเรียนว่าใช้สารเสพย์ติด
ชนิดแอมเฟตามีน ภายในระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา โดยไม่มีอาการและลักษณะของการติดสารเสพย์ติด
(substance use disorders) หรืออาการโรคจิต (psychosis) ส่วนกลุ่มควบคุม
คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ชั้น ห้องและโรงเรียนเดียวกันกับกลุ่มศึกษา
โดยทำการสุ่มเลือกจากเพศเดียวกัน และเลขที่ในห้องเรียนถัดจากกลุ่มศึกษา
ในลำดับต่อไปโดยใช้สัดส่วน 1: 2 หรือ 1: 1 ตามจำนวนนักเรียนในห้อง
และจะต้องไม่เคยมีประวัติการใช้สารเสพย์ติดชนิดต่าง ๆ มาก่อน นักเรียนทั้งสองกลุ่มตอบแบบสอบถามชนิดเดียวกัน
ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน โดยขอความร่วมมือจากนักเรียนและชี้แจงว่าเป็นงานวิจัย
มิใช่เพื่อทำการรักษาหรือเป็นการบันทึกข้อมูลความผิด
เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่
1. แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเอง
โดยมีคำถามเกี่ยวกับลักษณะทั่วไปของกลุ่มศึกษา และกลุ่มควบคุม เช่น
สภาพครอบครัว สภาพการศึกษา สภาวะอารมณ์ความรู้สึก
2. แบบสอบถาม FiveScale Test
of SelfEsteem for Children (FSC) ฉบับภาษาไทย16 เพื่อประเมินความภูมิใจแห่งตน
(self-esteem) ประกอบด้วยคำถามจำนวน 36 ข้อ คำตอบมีตัวเลือก 3 ข้อ
คิดคะแนนแต่ละข้อจาก 02 คะแนน สามารถประเมินด้านต่าง ๆ 5 ด้านคือ
มุมมองรวม (global scale) การศึกษา (academic scale) ภาพลักษณ์ (body
scale) ครอบครัว (family scale) และสังคม (social scale)
3. แบบสอบถาม Childrens Depression
Inventory (CDI) ฉบับภาษาไทย17 เพื่อวัดภาวะซึมเศร้าของกลุ่มศึกษาและกลุ่มควบคุม
ประกอบด้วยคำถาม 27 ข้อ ตัวเลือกคำตอบ 3 แบบ การให้คะแนนไม่มีอาการเลยหรือมีอาการน้อยมาก
= 0 คะแนน มีอาการบ้าง = 1 คะแนน มีอาการมาก = 2 คะแนน คะแนนมีตั้งแต่
054 คะแนน เพื่อประเมินความรุนแรงของภาวะซึมเศร้าในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยจะมีคะแนนที่ 15 ขึ้นไปสามารถประเมิน subscale ของความซึมเศร้า
5 ด้าน คือ negative mood, ineffectiveness, negative self-esteem,
interpersonal problems และ anhedonia
เก็บข้อมูลโดยให้ครูฝ่ายปกครองของโรงเรียน
เก็บรวบรวมข้อมูลของนักเรียนในช่วงเวลาที่กำหนด
วิเคราะห์ข้อมูลโดยนำข้อมูลของกลุ่มศึกษาและกลุ่มควบคุมมาคิดคะแนนของแต่ละแบบสอบถาม
แล้วนำไปวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS for WINDOWS เปรียบเทียบข้อมูลของแต่ละกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ค่า
mean และ ttest independence samples
ผลการศึกษา
1. ลักษณะทั่วไป จำนวนนักเรียนมัธยมที่ใช้ยาบ้า
แต่ไม่มีอาการเข้าได้กับลักษณะของการติดยาเข้าร่วมในการศึกษาจำนวนทั้งหมด
34 ราย เป็นเพศชายทั้งหมด อายุเฉลี่ย 16.1 ปี (SD=1.3) เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
3 จำนวน 14 ราย (ร้อยละ 41.1) มัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 6 ราย (ร้อยละ
17.7) มัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 8 ราย (ร้อยละ 23.5) และมัธยมศึกษาปีที่
6 จำนวน 6 ราย (ร้อยละ 17.7) ได้สุ่มตัวอย่างเลือกนักเรียนกลุ่มไม่ใช้ยา
จากนักเรียนชั้นเดียวกันได้จำนวน 42 ราย มีอายุเฉลี่ย 16.5 ปี (SD=1.2)
โดยใช้สัดส่วนการสุ่มตัวอย่าง 1:1 ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 6 สัดส่วน
1:2 ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เนื่องจากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
3 และ6 มีนักเรียนไม่พอที่จะสุ่มในสัดส่วน 1:2 ส่วนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
5 จะมี 2 ห้อง คือ ห้องที่เพียงพอสุ่มสัดส่วน 1:2 และห้องที่สุ่มสัดส่วน
1:1 อายุของนักเรียนทั้ง 2 กลุ่ม ไม่มีความแตกต่างกัน
ผลคะแนนการสอบกลุ่มใช้ยาบ้า
(mean = 1.67, SD = 0.35) ต่ำกว่ากลุ่มไม่ใช้ยา (mean = 2.06, SD =
0.52) อย่างมีนัยสำคัญ (p < 0.001) ดังแสดงในตารางที่ 1
2. ลักษณะครอบครัว อายุของบิดาและมารดาของนักเรียนทั้ง
2 กลุ่มมีค่าเฉลี่ยอยู่ใกล้เคียงกัน คือประมาณ 40 ปี ส่วนใหญ่ของบิดาและมารดาของนักเรียนทั้ง
2 กลุ่ม มีการศึกษาสูงสุดอยู่ระดับชั้นประถมศึกษา โดยมีสัดส่วนเกินร้อยละ
50 ขึ้นไป ในกลุ่มใช้ยาพบว่ามีสภาพครอบครัวที่แตกแยก หย่า แยกทางกันสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ใช้ยา
(ร้อยละ 26.5 และ 11.9 ตามลำดับ) ดังแสดงในตารางที่ 2
3.ความภูมิใจแห่งตน การวัดค่าคะแนนความภูมิใจแห่งตนโดยใช้แบบทดสอบ
FSC ภาษาไทย พบว่ากลุ่มใช้ยามีความภูมิใจแห่งตน (mean = 41.2) ต่ำกว่ากลุ่มไม่ใช้ยา
(mean = 46.3) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.012) ทางด้าน subscale
5 ด้าน พบว่าความภูมิใจแห่งตนด้านการศึกษา ครอบครัว และมุมมองรวมของ
กลุ่มใช้ยาจะต่ำกว่ากลุ่มไม่ใช้ยา โดยด้านการศึกษากลุ่มใช้ยามีค่าคะแนนเฉลี่ย
7.06 เทียบกับกลุ่มไม่ใช้ยามีค่า 8.12 มีความแตกต่างทางสถิติ (p =
0.029) ด้านครอบครัว กลุ่มใช้ยามีค่าคะแนนเฉลี่ย 10.68 เทียบกับกลุ่มไม่ใช้ยามีค่า
12.21 มีความแตกต่างทางสถิติ (p = 0.025) และด้านมุมมองรวม กลุ่มใช้ยามีค่าคะแนนเฉลี่ย
9.12 เทียบกับกลุ่มไม่ใช้ยามีค่า 10.63 แตกต่างกันทางสถิติ (p = 0.002)
ทางด้านสังคมและภาพลักษณ์พบว่ากลุ่มใช้ยาและไม่ใช้ยาค่าคะแนนไม่แตกต่างกันทางสถิติ
ดังแสดงในตารางที่ 3
4. ภาวะซึมเศร้า พบว่ากลุ่มใช้ยาบ้ามีค่าคะแนน
CDI มากกว่า 15 จำนวน 11 ราย (ร้อยละ 32.3) กลุ่มไม่ใช้ยามีจำนวน 9
ราย (ร้อยละ 21.4) ค่า odds ratio (OR) ของภาวะซึมเศร้าในกลุ่มใช้ยา
= 1.75 เท่าของกลุ่มที่ไม่ใช้ยา เมื่อเทียบค่าคะแนนรวม CDI และ subscale
ทั้ง 5 ด้านของทั้ง 2 กลุ่ม พบว่าไม่มีความแตกต่างกัน ดังแสดงในตารางที่
4
วิจารณ์
การศึกษาถึงความสัมพันธ์และปัจจัยที่ส่งเสริมให้นักเรียนวัยรุ่นใช้ยาบ้า
ในประเทศไทยยังมีการศึกษาน้อย และให้ความสำคัญในด้านเพื่อนชวน หรือความอยากลองของวัยรุ่นเอง
หรือเพราะครอบครัว บิดา มารดาหย่าร้าง ทะเลาะวิวาท แต่ในอีกด้านด้านหนึ่ง
เหตุใดเด็กบางคนที่ถูกเพื่อนชวนใช้ยาหรือ ครอบครัวแตกแยก ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้ยาเสพติด
อะไรเป็นกลไกที่หยุดยั้งความอยากลอง ปกป้องตนเองจากกลุ่มเพื่อนที่ใช้ยา
มีขบวนการในการตัดสินปัญหาที่ดี ในกรณีที่มีปัญหาครอบครัวไม่พึ่งสารเสพย์ติด
และหลังจากได้ใช้ยาบ้าแล้วกลไกใดทางด้านจิตใจที่ทำให้วัยรุ่นมุ่งใช้ยาต่อไป
การสำรวจปัญหาสุขภาพจิตจะทำให้เข้าใจปัญหานี้มากขึ้น
จากการศึกษาครั้งนี้ พบว่าวัยรุ่นที่ใช้ยาจะมีผลการสอบที่ต่ำกว่า
และอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ดี (mean = 1.67) เมื่อมองความสัมพันธ์ของค่าความภูมิใจแห่งตน
ด้านการศึกษาก็จะพบว่าต่ำกว่ากลุ่มที่ไม่ใช้ยาอย่างมีนัยสำคัญ แสดงว่านักเรียนวัยรุ่นกลุ่มที่ใช้ยามีความพึงพอใจตนเองในฐานะนักเรียนต่ำ
รู้สึกตนเองการเรียนไม่ดี ไม่เป็นที่พึงพอใจของครู พ่อ แม่ หรือแม้กระทั่งเพื่อนนักเรียนด้วยกัน
ฉะนั้นการที่จะสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อปกป้องวัยรุ่นจากยาบ้า สมควรทบทวนระบบการศึกษา
ทัศนคติของพ่อแม่ ครู ว่าได้มีการเกื้อหนุนสร้างความรู้สึกที่ดีต่อการเรียนการศึกษา
ให้นักเรียนได้สัมฤทธิ์ผลทางการศึกษาเพียงไร ขณะเดียวกันในกลุ่มนักเรียนที่มีปัญหาทางการเรียน
ขาดความภูมิใจ ควรได้รับการช่วยเหลือ ให้กำลังใจ ส่งเสริมขบวนการคิดในการสร้างความภาคภูมิใจ
ไม่กดดันหรือตั้งมาตรฐานที่มากเกินความสามารถ จะเป็นหนทางสร้างภูมิปกป้องให้ห่างไกลยาเสพย์ติดได้
ครอบครัวของนักเรียนกลุ่มที่ใช้ยาบ้า
มีสถิติการหย่าร้างและแยกกันอยู่สูงกว่ากลุ่มที่ไม่ใช้ยา จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงอันหนึ่งที่ควรเข้าไปช่วยเหลือวัยรุ่น
และครอบครัวที่เป็นลักษณะของผู้ปกครองเดี่ยว ที่มีบิดาหรือมารดาเป็นผู้ดูแลเพียงคนเดียว
(single parent) ความภาคภูมิใจแห่งตนด้านครอบครัวในกลุ่มใช้ยาก็ต่ำกว่ากลุ่มไม่ใช้ยา
ซึ่งแสดงถึงวัยรุ่นกลุ่มที่ใช้ยามีความรู้สึกต่อตนเองเชิงลบ ในฐานะสมาชิกของครอบครัว
รู้สึกว่าตนไม่เป็นที่รัก หรือภาคภูมิใจของคนในครอบครัว
ครอบครัวโดยเฉพาะพ่อแม่ จึงมีบทบาทสูงมากในการป้องกันวัยรุ่นให้ห่างไกลยาเสพย์ติด
ในด้านของการสร้างความภาคภูมิใจแห่งตนด้านครอบครัว ควรเริ่มต้นตั้งแต่วัยเด็ก
พ่อแม่ควรสร้างความผูกพัน (attachment) ให้ความอบอุ่น (emotional warmth)
ให้โอกาสในการมีส่วนร่วม (participation) ส่วนทำ (doing) จนเกิดความสำเร็จ
(achievement) พ่อแม่ควรชื่นชม (positive reinforcement) ยอมรับ (recognition)
จนเกิดการซึมซับในใจ เป็นความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง รู้สึกว่าครอบครัวอบอุ่น
เป็นที่รักใคร่ของคนในครอบครัว และรู้สึกว่าตนเองเป็นสมาชิกที่มีคุณค่าของครอบครัว
จะเป็นเกราะป้องกันยาเสพย์ติดได้เป็นอย่างดี
ความภูมิใจแห่งตน มุมมองรวมในกลุ่มใช้ยาต่ำกว่ากลุ่มไม่ใช้ยาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
แสดงให้เห็นว่ากลุ่มที่ใช้ยามีความรู้สึกต่อตนเองด้านทั่วไปในเชิงลบ
เช่น เป็นคนไม่ดี ไม่มีความสำคัญ ไม่ชอบตนเอง ขาดความสามารถในการคิดการทำ
ไม่ประสบผลสำเร็จ วัยรุ่นที่ใช้ยาจึงต้องแสวงหาทางออกเพื่อให้เกิดการยอมรับตนเองได้
หรือไม่ก็ลืมความรู้สึกที่ไม่ดีต่อตนเอง การใช้ยาบ้าจึงเป็นหนทางออกสำหรับวัยรุ่นกลุ่มนี้
การป้องกันช่วยเหลือจึงรวมถึงการสร้างระบบความคิด และมุมมองใหม่ของวัยรุ่นที่ให้เห็นถึงด้านบวกของตนเอง
ความภูมิใจแห่งตนด้านภาพลักษณ์และสังคม
แสดงถึงความรู้สึกต่อตนเองในด้านรูปร่าง รูปลักษณ์ของตนเอง ความรู้สึกถึงความสามารถในการเป็นเพื่อนกับผู้อื่นของตนเอง
ความรู้สึกถึงความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสังคมรอบข้าง จากการศึกษาไม่พบความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
จากการศึกษาสำรวจภาวะซึมเศร้าในเด็กนักเรียนมัธยมต้นทั่วไปในกรุงเทพมหานคร18
โดยใช้แบบทดสอบ CDI พบว่ามีภาวะซึมเศร้าร้อยละ 40.8 ของนักเรียน จะเห็นว่าจำนวนนักเรียนที่มีภาวะซึมเศร้าสูงมากถ้าเทียบกับการศึกษาครั้งนี้ที่พบภาวะซึมเศร้าในกลุ่มใช้ยาเพียงร้อยละ
32.3 แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มใช้ยาก็พบว่ามีภาวะซึมเศร้าสูงกว่ากลุ่มไม่ใช้ยาที่พบภาวะซึมเศร้าเพียงร้อยละ
21.4 และการศึกษานี้ยังสอดคล้องกับการศึกษาของ Bukstein และคณะ14
ที่พบโรคซึมเศร้าในวัยรุ่นที่ติดสารเสพย์ติด จำนวนร้อยละ 31 แต่มากกว่าการศึกษาของ
วาสนา พัฒนกำจร15 ที่พบภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่นที่ใช้ยาร้อยละ
17 การหากลุ่มเสี่ยงต่อการใช้ยา การป้องกัน และการบำบัดรักษาผู้ใช้ยา
จึงควรคำนึงถึงภาวะซึมเศร้าที่อาจเป็นทั้งสาเหตุและข้อแทรกซ้อนที่ตามมาของการใช้ยา
เมื่อดูคะแนนรวมของ CDI และ
subscale ทั้ง 5 ด้าน คือ negative mood, interpersonal problems,
ineffectiveness, anhedonia และ negative self-esteem ไม่พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ซึ่งก่อนทำการศึกษา ผู้วิจัยมีแนวคิดว่ามีความแตกต่างกันในค่าคะแนนรวม
และด้าน subscale ต่าง ๆ ของ CDI ระหว่างกลุ่มใช้ยาบ้ากับไม่ใช้ จึงสมควรมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป
การศึกษาครั้งนี้มีข้อจำกัดของการศึกษาอยู่บ้าง
เช่นประชากรที่ศึกษามีจำนวนน้อย ยังไม่สามารถเป็นตัวแทนของประชากรทั้งประเทศได้
ถึงแม้จะมีนักเรียนวัยรุ่นที่ใช้ยาจำนวนมาก แต่การเปิดเผย ยอมรับ ทั้งของนักเรียนและโรงเรียนเองเพื่อทำการวิจัยในวงกว้างเป็นเรื่องที่ลำบากพอสมควร
อีกทั้งการศึกษาพบว่ามีความสัมพันธ์กันของความภูมิใจแห่งตนที่ต่ำในกลุ่มใช้ยา
แต่ไม่สามารถแสดงให้เห็นได้ว่า ความภูมิใจแห่งตนที่ต่ำเป็นเหตุที่ทำให้วัยรุ่นใช้ยา
หรือเป็นผลหลังจากวัยรุ่นใช้ยา สมควรมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป อย่างไรก็ดีการศึกษาเพื่อเข้าถึงปัญหาแก่นแท้ของการใช้ยาบ้าในวัยรุ่น
ยังมีการศึกษาน้อย โดยเฉพาะปัจจัยทางจิตใจของตัววัยรุ่นเอง การศึกษาครั้งนี้จึงน่าจะเป็นประโยชน์และนำไปประยุกต์ใช้ในระดับประเทศต่อไป
ข้อเสนอแนะ
1. การป้องกันและรักษาวัยรุ่นให้ห่างไกลยาบ้า
ควรนำปัจจัยด้านความภาคภูมิใจแห่งตน เข้ามาเป็นแกนหลักในการวางแผน
2. ควรคำนึงถึงภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่นที่แอบแฝงอยู่ซึ่งอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงหรือข้อแทรกซ้อนที่พบในวัยรุ่นที่มีความเสี่ยงต่อการใช้ยา
3. การวางแผนส่งเสริมสุขภาพจิตเพื่อสร้างความภาคภูมิใจแห่งตน
อันเป็นเกราะป้องกันปัญหายาเสพติด ต้องเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก เริ่มที่ครอบครัว
และโรงเรียน มิใช่เริ่มตอนเป็นวัยรุ่น
4. สมควรมีการศึกษาเพิ่มเติม
และในวงกว้างของปัญหาสุขภาพจิตในเด็กที่สัมพันธ์กับปัญหายาเสพติด อันเป็นปัญหาระดับชาติต่อไป
สรุป
ได้ทำการศึกษานักเรียนมัธยมจำนวน
34 คน ที่ใช้ยาบ้าเทียบกับกลุ่มนักเรียนที่ไม่ได้ใช้ยาจำนวน 42 คน
พบว่ากลุ่มใช้ยามีภาวะความภาคภูมิใจแห่งตนต่ำและมีสัดส่วนผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าสูงกว่ากลุ่มไม่ใช้ยา
การส่งเสริมสุขภาพจิตในเด็กและวัยรุ่นเพื่อเสริมสร้างความภาคภูมิใจแห่งตน
และช่วยเหลือวัยรุ่นที่มีภาวะซึมเศร้า โดยอาศัยครอบครัวและโรงเรียน
จะเป็นแนวทางในการวางแผนแก้ไขปัญหาวัยรุ่นที่ใช้ยาบ้าต่อไป
กิตติกรรมประกาศ
ขอขอบคุณหัวหน้าและเจ้าหน้าที่
กลุ่มงานจิตเวชโรงพยาบาลชลบุรี ในการรวบรวมข้อมูล ศาสตราจารย์อุมาพร
ตรังคสมบัติ คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุวรรณี
พุทธิศรี และผู้ช่วยศาสตราจารย์ชัชวาลย์ ศิลปกิจ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
ในข้อแนะนำและอนุญาตให้ใช้แบบสอบถาม
เอกสารอ้างอิง
- กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
รายงานสถิติวิเคราะห์ระบบข้อมูลการติดยาเสพติด ประชากรซึ่งรับการบำบัดรักษาทั่วประเทศจำแนกตามสถานพยาบาล.
ปีงบประมาณ พ.ศ.2541:645.
- กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.
การระบาดของยาเสพติดในสถานศึกษา. ฟ้าใส จดหมายข่าวยาเสพติด 2542;
2:37.
- Glantz MD, Pickens RW. Vulnerability
to drug abuse : Introduction and overview. In: Glantz MD, Pickens
RW, eds. Vulnerability to drug abuse. Washington DC: American
Psychological Association, 1992:114.
- Farrell M, Taylor E . Drug
and alcohol use and misuse. In: Rutter M, Taylor E, Hersov L,
eds. Child and Adolescent Psychiatry. Oxford: Blackwell scientific
publications, 1994:52945.
- Pandina RJ, Johnson V, Labouvie
EW. Affectivity: a central mechanism in the development of drug
dependence . In: Glantz MD, Picken RW, eds. Vulnerability to drug
abuse. Washinton DC: American Psychological Association, 1992:179210.
- Giancola PR, Martin CS,
Tarter RE, Pelham WE, Moss HB. Executive cognitive functioning
and aggressive behaviour in preadolescent boys at high risk for
substance abuse / dependence. J Stud Alcohol 1996; 57:325-59.
- ทรงเกียรติ ปิยะกะ, เวทิน
ศันสนียเวทย์. วัยรุ่นวุ่นยา. ใน: ทรงเกียรติ ปิยะกะ,เวทิน ศันสนียเวทย์
บรรณาธิการ. ยิ้มสู้เรียนรู้ยาเสพติด. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มติชน,
2540:179-86.
- Weinberg NZ, Randert E,
Colliver JD, Glantz MD. Adolescent substance abuse: A review of
the past 10 years. J Am Acad Child Adolesc Psychiatry 1998; 37:252-61.
- Glantz MG, Sloboda
Z. Research and conceptual issues in resilience. J Subst Use Misuse.
(in printed)
10.Adger H Jr.
Prevention of Alcohol and other drug abuse. In: Mcanarney ER, Kreipe
RE, Orr DP,
omerci GD, eds. Textbook of adolescent medicine. Philadelphia: WB
Saunders, 1992; 25662.
11.Houston
M, Wiener JM. Substancerelated disorders. In: Weiner JM, ed. Textbook
of child and
adolescent psychiatry. 2nded. Washington DC: American
Psychiatric Press, 1997:63756.
12.Hird
S, Khuri ET, Dusenbury L, Millman RB. Adolescents. In: Lowinson
JH, Ruiz P, Millman RB, Langrod
JG, eds. Substance abuse a comprehensive textbook. 3rded.
Baltimore : Williams & Wilkins
ตารางที่ 1 ลักษณะทั่วไปของนักเรียน
|
กลุ่มใช้ยาบ้า
(n = 34)
|
กลุ่มไม่ใช้ยา
(n = 42)
|
|
Mean
|
SD
|
Mean
|
SD
|
p-value
|
อายุของนักเรียน
(ปี)
คะแนนการสอบ (เกรดเต็ม
4)
|
16.1
1.67
|
1.3
0.35
|
16.5
2.06
|
1.2 .966
|
0.52 <
.001
|
|
|
|
|
|
|
|
No.
|
%
|
No.
|
%
|
|
ชั้นเรียนที่กำลังศึกษา
ม. 3
ม. 4
ม. 5
ม. 6
|
14
6
8
6
|
41.1
17.7
23.5
17.7
|
14
12
10
6
|
33.3
28.6
23.8
14.3
|
|
|
|
|
|
|
|
|
No.
|
%
|
No.
|
%
|
|
การอยู่อาศัย
บิดาและมารดา
บิดาหรือมารดา
ญาติ
|
22
7
5
|
64.7
20.6
14.7
|
25
11
6
|
59.5
26.2
14.3
|
|
ตารางที่ 2 ลักษณะทั่วไปของบิดา
มารดา
|
กลุ่มใช้ยาบ้า
(n
= 34)
|
กลุ่มไม่ใช้ยาบ้า
( n = 42)
|
|
Mean
|
SD
|
Mean
|
SD
|
p-value
|
อายุบิดา
(ปี)
อายุมารดา (ปี)
|
43.5
41.2
|
5.3
6.0
|
45.4
40.7
|
5.8 .167
|
5.3 .368
|
|
|
|
|
|
|
|
No.
|
%
|
No.
|
%
|
|
สภาพสมรสหย่า
/ แยกทาง
การศึกษาของบิดา
ประถม
มัธยม
อนุปริญญา
ปริญญา
ไม่มีข้อมูล
การศึกษาของมารดา
ประถม
มัธยม
อนุปริญญา
ปริญญา
ไม่มีข้อมูล
|
9
19
10
1
0
4
24
3
0
0
7
|
26.5
55.9
29.4
2.9
0
11.8
70.6
8.8
0
0
20.6
|
5
27
6
0
1
8
30
3
1
0
8
|
11.9
64.3
14.2
0
2.4
19.1
71.4
7.2
2.4
0
19.0
|
|
ตารางที่ 3 คะแนน
FSC และ subscale
|
User (n
= 34)
|
Non-user
(n
= 42)
|
t
|
df
|
p-value
|
|
Mean
|
SD
|
Mean
|
SD
|
Social
Academic
Family
Body image
Global
Total
|
9.68
7.06
10.68
4.68
9.12
41.21
|
2.14
2.04
2.59
1.93
1.97
7.75
|
9.91
8.12
12.21
5.26
10.63
46.26
|
2.18
2.10
3.28
2.29
2.12
9.11
|
-0.464
-2.223
-2.289
-1.188
-3.208
-2.569
|
75
75
75
74
75
74
|
.644
.029*
.025*
.239
.002*
.012*
|
ตารางที่ 4 คะแนน
CDI และ subscale
|
User (n
= 34)
|
Nonuser
(n = 42)
|
t
|
df
|
P-value
|
|
Mean
|
SD
|
Mean
|
SD
|
Negative
mood
Interpersonal problems
Ineffectiveness
Anhedonia
Negative self-esteem
Total
|
3.24
0.97
2.21
1.91
1.38
9.71
|
2.63
1.09
2.13
2.15
1.46
8.41
|
2.37
1.05
1.79
2.07
1.33
8.60
|
1.85
2.00
1.41
2.03
1.71
6.35
|
1.622
-0.199
0.980
0.330
0.154
0.634
|
75
75
55
75
75
60
|
.110
.843
.331
.742
.878
.529
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
No
|
%
|
No
|
%
|
OR
|
|
P - value
|
CDI
> 15 |
11
|
32.3
|
9
|
21.4
|
1.75
|
|
.282
|
|