บทนำ
ปัญหาที่เกิดจากโรคอารมณ์แปรปรวนชนิดคลุ้มคลั่ง
(bipolar disorder, mania) คือเวลามีอาการมักรุนแรงโดยเฉพาะในระยะเฉียบพลัน
(acute mania) นอกจากนี้ยังมีอัตราเสี่ยงต่อการกลับเป็นซ้ำสูงถึงร้อยละ
801 และในการกลับเป็นซ้ำแต่ละครั้งทำให้ความสามารถด้านต่าง
ๆ ของผู้ป่วยลดลง2,3 ดังนั้นการรักษาที่เหมาะสมจะช่วยลดความรุนแรงของอาการและป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
การรักษาที่มีประสิทธิภาพคือการใช้ยาเป็นหลักซึ่งมีหลายชนิด ยาที่จัดเป็นยารักษาอาการอารมณ์แปรปรวนชนิดคลุ้มคลั่งโดยเฉพาะ
คือ ลิเทียม, carbamazepine และ valproate4,5 ลิเทียมถือเป็นยามาตรฐานชนิดหนึ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
ในบางรายให้ลิเทียมเพียงขนานเดียวอาการก็ดีขึ้นได้ แต่ลิเทียมมีระยะเวลาการออกฤทธิ์ช้าประมาณ
7-14 วัน ในทางปฏิบัติจึงนิยมให้ยารักษาโรคจิตร่วมกับลิเทียมเพื่อควบคุมอาการในระยะเฉียบพลัน
โดยหวังผลให้ยารักษาโรคจิตซึ่งออกฤทธิ์เร็วกว่าทำให้อาการสงบลงโดยเร็ว6-8
ทั่วไปพบว่าการใช้ยารักษาโรคจิตร่วมกับลิเทียมมีความปลอดภัย แต่มีรายงานว่าผู้ป่วยโรคอารมณ์แปรปรวนที่ได้รับยารักษาจิตแบบระยะยาว
มีความเสี่ยงต่อการเกิด tardive dyskinesia (TD) สูงถึงร้อยละ 409,10
ดังนั้นเมื่อลิเทียมเข้าสู่ระดับการรักษาและอาการดีขึ้นควรลดยารักษาโรคจิต
บางรายอาจหยุดได้เลยและให้เพียงลิเทียมเพื่อคุมอาการต่อในระยะยาว
เพื่อให้ทราบแนวทางการลดยารักษาโรคจิตในผู้ป่วยโรคอารมณ์แปรปรวนชนิดคลุ้ม-คลั่ง
จึงทำการศึกษาในผู้ป่วยหลังจำหน่ายจากโรงพยาบาล 6 เดือนและอาการดีขึ้น
โดยเปรียบเทียบปริมาณยาขณะจำหน่ายกับขณะ 6 เดือนหลังจำหน่าย11,12
วัสดุและวิธีการ
การวิจัยนี้เป็นการศึกษาย้อนหลังในรูปแบบเชิงพรรณนา
(retrospective descriptive-study) โดยศึกษาข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยของโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา
กลุ่มประชากรเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยตาม ICD-10 เป็น
bipolar (affective) disorder, manic หรือ mixed episode (F 31.1,
F 31.2, F31.9) และ manic episode ( F 30.1, F 30.2, F 30.9) ที่จำหน่ายจากโรงพยาบาลตั้งแต่วันที่
1 มิถุนายน ถึง 31 ธันวาคม 2537 ยาที่ได้รับขณะจำหน่ายต้องมีทั้งลิเทียมและยารักษาโรคจิต
โดยตลอดช่วง 6 เดือนหลังจำหน่ายต้องมารักษาสม่ำเสมอ และได้รับลิเทียมอย่างต่อเนื่อง
เก็บบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะประชากร
(เพศ อายุ การศึกษา สถานภาพสมรส) ประวัติอาการ ได้แก่ ระยะเวลาที่เจ็บป่วย
การอยู่รักษาในโรงพยาบาล (จำนวนครั้งและระยะเวลา) การรักษาด้วยยาในขณะจำหน่าย
และขณะ 6 เดือนหลังจำหน่าย ได้แก่ ปริมาณยาลิเทียม (มิลลิกรัมต่อวัน)
ปริมาณยารักษาโรคจิต (คิดเป็นมิลลิกรัมของ chlorpromazine equivalents
ต่อวัน)
การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูป
SPSS/pc วิเคราะห์หาความแตกต่างของค่าเฉลี่ยปริมาณยารักษาโรคจิตขณะจำหน่ายกับขณะ
6 เดือนหลังจำหน่าย โดยใช้ two-tailed pair-t-test (P < 0.05) ทำการวิเคราะห์ในกลุ่มประชากรทั้งหมด
และแยกวิเคราะห์ในแต่ละกลุ่ม คือ กลุ่มที่มีการอยู่โรงพยาบาลซ้ำ และกลุ่มที่ไม่มีการอยู่โรงพยาบาลซ้ำในช่วง
6 เดือน
ผลการศึกษา
พบว่ามีผู้ป่วยโรคอารมณ์แปรปรวนชนิดคลุ้มคลั่ง
ซึ่งเข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 60 ราย เป็นหญิง 35 ราย ชาย 25 ราย อัตราส่วนระหว่างหญิงต่อชายเท่ากับ
1.4 :1 อายุเฉลี่ยของผู้ป่วยทั้งหมดคือ 36.52 ปี โดยมีพิสัยตั้งแต่
17-75 ปี ผู้ป่วยส่วนใหญ่ (ร้อยละ 96.7) มีระดับการศึกษาอย่างน้อยประถมศึกษา
สถานภาพสมรสคู่ คิดเป็นร้อยละ 45 หม้าย ร้อยละ 45 ดังแสดงในตารางที่
1
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ร้อยละ
53.3 ได้รับการวินิจฉัยเป็น bipolar (affective) disorder, current
episode manic without psychotic symptoms (F 31.1) และอีกร้อยละ 30
เป็น bipolar (affective) disorder, current episode manic with psychotic
symptoms (F 31.2) ดังแสดงในตารางที่ 2
ระยะเวลาที่เจ็บป่วยค่อนข้างเรื้อรังเฉลี่ยรายละ
7.28 ปี (SD = 4.62) พบว่าพิสัยข้อมูลค่อนข้างกว้างตั้งแต่ 1 สัปดาห์
ถึง 24 ปี เนื่องจากตาม ICD-10 การวินิจฉัยเป็น manic episode ระยะเวลาของอาการต้องไม่ต่ำกว่า
1 สัปดาห์ จำนวนครั้งของการอยู่รักษาในโรงพยาบาลเฉลี่ยรายละ 3.58 ครั้ง
(SD = 3.11) แสดงให้เห็นปัญหาการกลับเป็นซ้ำ ปริมาณยาลิเทียมที่ได้รับเฉลี่ย
839.17 มิลลิกรัมต่อวันต่อคน (SD = 272.17) จากการวิเคราะห์เปรียบเทียบปริมาณยารักษาโรคจิตระหว่างขณะจำหน่ายเฉลี่ย
603.25 มิลลิกรัมของ CPZ equivalents ต่อวันต่อคน (SD = 476.73) กับขณะ
6 เดือนหลังจำหน่ายเฉลี่ย 352.92 มิลลิกรัมของ CPZ equivalents ต่อวันต่อคน
(SD = 365.05) ในกลุ่มผู้ป่วยทั้งหมดพบว่า มีการลดปริมาณยารักษาโรคจิตลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
(P = 0.001)
จากการติดตามผู้ป่วยทั้งหมดหลังจำหน่ายเป็นเวลา
6 เดือน พบว่าสามารถแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่ 1 คือกลุ่มที่ไม่มีการอยู่โรงพยาบาลซ้ำตลอด
6 เดือน 41 ราย คิดเป็นร้อยละ 68.3 กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่มีการอยู่โรงพยาบาลซ้ำในช่วง
6 เดือน 19 ราย คิดเป็นร้อยละ 31.7 ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในด้านอายุ
ประวัติความเจ็บป่วย ปริมาณยาที่ใช้รักษา ระหว่างผู้ป่วย 2 กลุ่มนี้
แต่จากการวิเคราะห์เปรียบเทียบปริมาณยารักษาโรคจิต ระหว่างขณะจำหน่ายกับขณะ
6 เดือนหลังจำหน่าย พบว่าในกลุ่มที่ 1 มีการลดปริมาณยารักษาโรคจิตลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
(P = 0.001) ส่วนในกลุ่มที่ 2 ไม่มีการลดปริมาณยารักษาโรคจิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ดังแสดงในตารางที่ 3
ในกลุ่มที่มีการอยู่โรงพยาบาลซ้ำมี
15 ราย อยู่โรงพยาบาลซ้ำ 1 ครั้ง และอีก 4 ราย อยู่โรงพยาบาลซ้ำ 2
ครั้งในช่วง 6 เดือน ระยะเวลาในการอยู่โรงพยาบาลซ้ำครั้งที่ 1 เฉลี่ย
24.53 วัน (SD=16.42) ครั้งที่ 2 เฉลี่ย 25.25 วัน (SD=18.41)
ปัญหาการเกิด
tardive dyskinesia (TD) ในการศึกษานี้พบ 3 ราย คิดเป็นร้อยละ 5 เป็นเพศหญิง
2 ราย เพศชาย 1 ราย อายุเฉลี่ยผู้ป่วยทั้ง 3 ราย คือ 64 ปี และมีประวัติได้รับยารักษาโรคจิตนานเฉลี่ยรายละ
15 ปี
วิจารณ์
จากการศึกษานี้พบว่าผู้ป่วยทั้งหมดมีการลดปริมาณยารักษาโรคจิตในช่วง
6 เดือนหลังจำหน่ายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเช่นเดียวกับการศึกษาของ
Sernyak และคณะ11 ในการศึกษานี้มีการลดลงของปริมาณยารักษาโรคจิต
ถึงร้อยละ 41.5 แต่ของ Sernyak และคณะ11 ลดลงเพียงร้อยละ
20 เท่านั้น อาจมีสาเหตุจากการที่กลุ่มผู้ป่วยของการศึกษานี้มีความรุนแรง
เรื้อรัง และการกลับเป็นซ้ำน้อยกว่ากลุ่มผู้ป่วยของ Sernyak และคณะ11
โดยดูจากระยะเวลาที่เจ็บป่วย การเคยอยู่รักษาในโรงพยาบาล ปริมาณยาลิเทียมที่ได้รับเฉลี่ยต่อวัน
จำนวนผู้ป่วยที่ต้องอยู่โรงพยาบาลซ้ำ พบว่าทั้งหมดมีค่าเฉลี่ยน้อยกว่า
จึงทำให้ผู้ป่วยของการศึกษานี้สามารถลดปริมาณยารักษาโรคจิตได้มากกว่า
การลดยารักษาโรคจิตในการศึกษานี้และการศึกษาของ Sernyak และคณะ11
มีการปฏิบัติเหมือน practice guideline ที่เกี่ยวข้องกับการรักษา bipolar
disorder ของต่างประเทศ13,14 ซึ่งถือเป็นเวชปฏิบัติที่เหมาะสมคือเมื่ออาการในระยะเฉียบพลันสงบลงควรคง
mood stabilizer ไว้ ในขณะที่ค่อย ๆ ลดขนาดยารักษาโรคจิตลง
หากแยกวิเคราะห์เปรียบเทียบการลดปริมาณยารักษาโรคจิตในแต่ละกลุ่มพบความแตกต่าง
คือ การศึกษานี้กลุ่มที่มีการอยู่โรงพยาบาลซ้ำไม่มีการลดปริมาณยารักษาโรคจิตลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ส่วนกลุ่มที่ไม่มีการอยู่โรงพยาบาลซ้ำที่มีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
แตกต่างจากการศึกษาของ Sernyak และคณะ11 ที่รายงานว่าทั้ง
2 กลุ่มนี้ไม่มีการลดปริมาณยารักษาโรคจิตลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ในการศึกษานี้พบว่าข้อมูลผู้ป่วยด้านอายุ
ประวัติอาการ การรักษาที่ได้รับระหว่างกลุ่มที่มีและไม่มีการอยู่โรงพยาบาลซ้ำไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ฉะนั้นสาเหตุที่ทำให้กลุ่มที่มีการอยู่โรงพยาบาลซ้ำลดยารักษาโรคจิตไม่ได้อาจเป็นได้หลายประการ
ได้แก่ อาการรุนแรงมากจำเป็นต้องได้ยาต่อเนื่อง15 การรักษาก่อนจำหน่ายยังไม่เพียงพอ
ผู้ป่วยขาดยา เป็นผู้ป่วยกลุ่มอารมณ์แปรปรวนชนิด rapid cycling หรือเป็นจากผู้ป่วยได้รับยารักษาโรคจิตเป็นเวลานานพอลดยาทำให้เกิดอาการทางจิตมากขึ้น
(supersensitivity psychosis)16
การเกิด tardive
dyskinesia (TD) ในการศึกษานี้เปรียบเทียบกับการศึกษาของ Waddington
และ Youssef10 ซึ่งพบว่าผู้ป่วยโรคอารมณ์แปรปรวนที่อายุมากกว่า
55 ปี และได้รับยารักษาโรคจิตนานเฉลี่ย 14.6 ปี เกิด TD เห็นได้ว่าผลการศึกษาที่ได้สอดคล้องกันคือ
นอกจากมีโรคอารมณ์แปรปรวนที่เป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งต่อการเกิด
TD ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นคือ เป็นผู้ป่วยสูงอายุ และได้รับยารักษาโรคจิตเป็นระยะเวลานาน
การศึกษานี้สามารถให้ข้อมูลเบื้องต้นบางอย่างเกี่ยวกับการรักษาทางกายของโรคอารมณ์แปรปรวนชนิดคลุ้มคลั่ง
แต่การศึกษายังมีข้อจำกัดเนื่องจากเป็นการศึกษาข้อมูลย้อนหลังทำให้การลดหรือไม่ลดขนาดยารักษาโรคจิตอาจเกิดจากปัจจัยบางประการได้
(คือมี selection bias) ดังนั้นการคงขนาดยารักษาโรคจิตในกลุ่มที่มีการอยู่โรงพยาบาลซ้ำ
จึงไม่ได้เป็นสาเหตุของการอยู่โรงพยาบาลซ้ำ แต่การคงขนาดยาดังกล่าวอาจเกิดจากการที่แพทย์พบว่าผู้ป่วยเหล่านี้มีลักษณะบางอย่างที่เสี่ยงต่อการกลับเป็นซ้ำ
เช่น mild manic หรือ psychotic symptoms จึงเลือกที่จะคงขนาดยารักษาโรคจิตในผู้ป่วยดังกล่าว
อีกประการหนึ่งคือในการรักษาโรคจิตทั่วไปจะค่อย ๆ ลดขนาดยาลง ซึ่งต้องใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าขนาดยาจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ผู้ป่วยที่มีการอยู่โรงพยาบาลซ้ำนั้นมีการเข้าออกโรงพยาบาล การลดขนาดยาจึงทำได้ไม่เต็มที่
เพราะช่วงเวลาขณะออกจากโรงพยาบาลกับเวลาที่วัดเมื่อ 6 เดือนหลังจำหน่ายนั้นน้อยกว่าผู้ป่วยที่ไม่มีการอยู่โรงพยาบาลซ้ำเลย
สรุป
การรักษาทางกายโดยใช้ลิเทียมร่วมกับยารักษาโรคจิตสำหรับผู้ป่วยโรคอารมณ์แปรปรวนชนิดคลุ้มคลั่งโดยทั่วไปได้ผลดี
เมื่ออาการสงบลงสามารถลดยารักษาโรคจิตได้อย่างเหมาะสม ยกเว้นในกลุ่มที่มีปัญหาการอยู่รักษาในโรงพยาบาลซ้ำ
ควรต้องพิจารณาหาแนวทางการรักษาเพิ่มเติมเพื่อให้ควบคุมอาการได้ เช่น
การให้ยา carbamazepine หรือ valproate หรือการรักษาด้วยไฟฟ้า ควบคู่ไปกับการรักษาทางจิตสังคม
กิตติกรรมประกาศ
ขอขอบคุณนายแพทย์ชัยฤทธิ์
กฤษณะ และนายแพทย์ฐานันดร์ ปิยะศิริศิลป์ ที่ให้คำปรึกษาแนะนำ และช่วยเหลือในการวิจัยอย่างดียิ่ง
เอกสารอ้างอิง
1. Winokur G, Clayton PJ, Reich
T. Manic depressive illness. St Louis: CV Mosby, 1969.
2. Prien RF, Gelenberg AJ.
Alternative to lithium for preventive treatment of bipolar disorder.
Am J Psychiatry 1989; 146:840-8.
3. Department of Health, Education,
and Welfare. Medical practice, A State-of the Science
Report. Baltimore, MD: Policy
Research, 1979.
4. Kaplan HI, Sadock BJ. Comprehensive
textbook of psychiatry. 6th ed. Baltimore: William
& Wilkins, 1995: 1152-78.
5. Sachs GS. Adjuncts and alternatives
to lithium therapy for bipolar affective disorder.
J Clin Psychiatry 1989; 50(Suppl
12):31-9.
6. Goodwin FK, Jamison KR.
Manic-depressive illness. New York: Oxford University Press,
1990.
7. Kane JM. The role of neuroleptic
in manic-depressive illness. J Clin Psychiatry 1988;
49(Suppl 11):12-3.
8. Prien RE, Caffey EM, Klett
CJ. Comparision of lithiun carbonate and chlorpromazine in the
treatment of mania. Arch Gen
Psychiatry 1972; 29:146-53.
9. Kane JM, Worener M, Borenstein
M, et al. Integrating incidence of prevalence of tardive
dyskinesia. Psychopharmacol
Bull 1986; 22:254-8.
10. Waddington JL, Youssef
HA. Tardive dyskinesia in bipolar affective disorder. Am J
Psychiatry 1988; 145:613-6.
11. Sernyak MJ, Griffin RA,
Johnson RM, Pearsall HR, Wexler BE, Wood SW. Neuroleptic
exposure following inpatient
treatment of acute mania with lithium and neuroleptic. Am J
Psychiatry 1994; 151:133-5.
12. Dion Cl, Tohen M, Anthory
WA, et al. Symptom and functioning of patient with bipolar
disorder six months after hospitalization.
Hosp Community Psychiatry 1988; 39:652-6.
13. Kahn DA, Carpenter D, Docherty
JP, Frances A. Treatment of bipolar disorder. J Clin
Psychiatry 1996; 57(Suppl 12A):1-88.
14. Bauer MS, Callahan AM,
Jampala C, et al. Clinical practice guideline for bipolar
disorder from the Department
of Veteran Affairs. J Clin Psychiatry 1999; 60:9-12.
15. Sernyak MJ, Woods SW. Chronic
neuroleptic use in manic depressive illness.
Psychopharmacol Bull 1993;
29:375-81.
16. Lenox RH, Newhouse PA,
Creelman WL, et al. Adjunctive treatment of manic agitation
with lorazepam versus haloperidol:a
double-blind study. J Clin Psychiatry 1992 ; 53:47-52.
ตารางที่ 1 ข้อมูลทั่วไป