การวิเคราะห์ในส่วนที่
1 : กลุ่มผู้ที่ไม่เคยมีความคิดฆ่าตัวตายจำนวน 122 ราย
และการวิเคราะห์ในส่วนที่
2 : เฉพาะในกลุ่มผู้ที่เคยมีความคิดจะฆ่าตัวตายจำนวน 26 ราย
ข้อมูลการวิเคราะห์รวมจากกลุ่มตัวอย่างซึ่งไม่เคยมีความคิดฆ่าตัวตายจำนวน
122 ราย ซึ่งพบว่า
ข้อมูลด้านกลุ่มตัวอย่างนั้นพบว่า
ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 87.7) สถานภาพสมรสเป็นโสด (ร้อยละ 73.8)
ครึ่งหนึ่งมีอาชีพรับราชการ/รัฐวิสาหกิจ (ร้อยละ 61.5) รายได้กระจายอยู่ในกลุ่มต่าง
ๆ ระดับการศึกษามากกว่าครึ่งหนึ่งอยู่ในระดับปริญญาตรีขึ้นไป (ร้อยละ
69.7) อายุเฉลี่ย 34 ปี (โดยมีช่วงอายุตั้งแต่ 19 ถึง 78 ปี)
ส่วนข้อมูลการวิเคราะห์ในรายละเอียด
แสดงดังตารางที่ 2, 3 และ 4 โดยมีข้อสรุปจากตารางดังกล่าวดังนี้
ความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นต่าง
ๆ ของการฆ่าตัวตาย (ตารางที่ 2 และ 3)
กลุ่มตัวอย่างมีความเห็นที่สอดคล้องกันใน
3 ประเด็นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 ใน
ประเด็นดังนี้คือ
ส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าคนที่ตั้งใจฆ่าตัวตายจริง ๆ จะไม่พูดบอกคนอื่น
และไม่เห็นด้วยว่า คนที่ฆ่าตัวตาย มักจะทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ กับ
ไม่เห็นด้วยว่าคนที่ฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ มักจะไม่ตั้งใจจริง
กลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นที่ไม่สอดคล้องกันใน
2 ประเด็นคือ เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในสัดส่วนที่
ไม่แตกต่างกันว่าการถามถึงความคิดฆ่าตัวตายในคนที่มีความทุกข์
จะกระตุ้นให้เขาเกิดการตัดสินใจกระทำ และ การเอาใจใส่คนที่พูดถึงการฆ่าตัวตายมากเกินไป
จะทำให้เขาทำซ้ำอีก
กลุ่มตัวอย่างที่เคยมีความคิดฆ่าตัวตายส่วนใหญ่เคยมีบุคคลใกล้ชิดที่ฆ่าตัวตาย
และถ้าประสบ
วิกฤตในชีวิตจะเลือกการฆ่าตัวตายสูงกว่ากลุ่มตัวอย่างที่ไม่เคยมีความคิดฆ่าตัวตายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.001
ในประเด็นที่ว่าการฆ่าตัวตายเกิดจากการเลียนแบบสื่อหรือไม่นั้น
พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ไม่เคยมี
ความคิดฆ่าตัวตายเห็นด้วยว่าเป็นการเลียนแบบสื่อสูงกว่ากลุ่มตัวอย่างที่เคยมีความคิดฆ่าตัวตายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.001
ความเชื่อเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย
(ตารางที่ 4)
กลุ่มตัวอย่างที่ไม่เคยมีความคิดฆ่าตัวตายมีความเชื่อเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายเรียงลำดับความ
สำคัญจากมากไปน้อยดังนี้
(1) เป็นการหนีปัญหา (2) เป็นบาป (3) เป็นเรื่องของคนป่วยทางจิต (4)
เป็นทางออกของปัญหา (5) เป็นการเรียกร้องความสนใจ และ (6) เป็นสิทธิส่วนบุคคล
ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างที่เคยมีความคิดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายมีความเชื่อเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายเรียงลำดับความสำคัญจากมากไปน้อยดังนี้
(1) เป็นทางออกของปัญหา (2) เป็นสิทธิส่วนบุคคล (3) เป็นการหนีปัญหา
(4) เป็นบาป (5) เป็นเรื่องของคนป่วยทางจิต และ (6) เป็นการเรียกร้องความสนใจ
ซึ่งเมื่อนำสัดส่วนความคิดเห็นมาทำการเปรียบเทียบพบว่า
ความเชื่อที่กลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มมี
ความเชื่อที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.001 พบใน 3 ประเด็นซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เคยมีความคิดฆ่าตัวตายเห็นด้วยสูงกว่าดังนี้
(1) การฆ่าตัวตายเป็นบาป (2) เป็นการหนีปัญหา (3) เป็นเรื่องของคนป่วยทางจิตใจ
ในขณะที่อีก 1 ประเด็นที่กลุ่มตัวอย่างที่เคยมีความคิดฆ่าตัวตายเห็นด้วยสูงกว่าคือ
การฆ่าตัวตายเป็นสิทธิส่วนบุคคล
ความคิดเห็นต่อประเด็นต่าง
ๆ ที่ส่งผลให้ฆ่าตัวตาย (ตารางที่ 5)
กลุ่มตัวอย่างที่เคยมีความคิดฆ่าตัวตายมีความเห็นที่เห็นด้วยใน
5 ประเด็นอย่างมีนัยสำคัญทาง
สถิติที่ระดับ
.05, .01 และ .001 ในประเด็นดังนี้คือ เห็นด้วยใน 3 ประเด็นว่าการฆ่าตัวตายเป็นการลดความเจ็บปวดทางด้านจิตใจ
ภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการฆ่าตัวตายคือความรู้สึกหมดหวัง และการรับรู้ในภาวะที่เกิดความคิดฆ่าตัวตายคือความรู้สึกมืดมน
ไม่เห็นทางออกของปัญหา และในส่วนที่เห็นสอดคล้องกันในเชิงไม่เห็นด้วยใน
2 ประเด็นคือ การกระทำที่เกิดขึ้นในภาวะที่คิดฆ่าตัวตายคือความก้าวร้าว,
และการฆ่าตัวตายที่กระทำซ้ำแล้วซ้ำอีกในบุคคลเดียวกันถือว่าเป็นรูปแบบการปรับตัวของบุคคลนั้น
เมื่อทำการเรียงลำดับความสำคัญความคิดเห็นต่อประเด็นที่ส่งผลให้ฆ่าตัวตายในกลุ่มตัวอย่างที่
ไม่เคยมีความคิดฆ่าตัวตาย
3 อันดับแรกที่ไม่เห็นด้วยคือ (1) การกระทำที่เกิดขึ้นในภาวะที่คิดฆ่าตัวตายคือความก้าวร้าว
(2)การฆ่าตัวตายที่กระทำซ้ำแล้วซ้ำอีกในบุคคลถือว่าเป็นรูปแบบการปรับตัวของบุคคลนั้น
(3)การฆ่าตัวตายเป็นการส่งสารให้อื่นทราบถึงความตั้งใจที่จะกระทำ
ส่วน 3 อันดับแรกที่เห็นด้วยคือ
(1) ภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการฆ่าตัวตายคือความรู้สึกหมด
หวัง (2) การรับรู้ในภาวะที่คิดฆ่าตัวตายคือความรู้สึกมืดมนไม่เห็นทางออกของปัญหา
(3) การฆ่าตัวตายเป็นการลดความเจ็บปวดทางจิตใจ
การวิเคราะห์ในส่วนที่
3 : เฉพาะในกลุ่มผู้ที่เคยมีความคิดจะฆ่าตัวตายและต้องการใช้วิธีการฆ่าตัวตายอีกถ้าประสบวิกฤตในชีวิตจำนวน
4 ราย
จากข้อคำถามที่ว่า
ถ้าประสบวิกฤตในชีวิตจะเลือกการฆ่าตัวตายหรือไม่ นั้น ในกลุ่มตัวอย่างที่เคยมีความคิดฆ่าตัวตายจำนวน
26 รายนั้น มีอยู่ 4 รายที่ตอบว่าจะเลือกวิธีการฆ่าตัวตายอีกถ้าต้องประสบกับวิกฤตในชีวิต
ซึ่งแม้จำนวนมีน้อยกว่าที่จะนำมาวิเคราะห์ทางสถิติได้ชัดเจน แต่ว่าเป็นประเด็นสำคัญที่น่าจะนำมาพิจารณา
จึงได้ทำการวิเคราะห์เฉพาะในกลุ่มตัวอย่าง 4 รายดังกล่าว ได้ข้อค้นพบดังนี้คือ
ทางด้านข้อมูลทั่วไปพบว่า
ทั้ง 4 ราย เป็นเพศหญิง สถานภาพสมรสเป็นโสด 2 ราย แต่งงานและม่าย (คู่เสียชีวิต)
อย่างละ 1 ราย อาชีพรับราชการ/รัฐวิสาหกิจ 2 ราย นักศึกษาและค้าขายอย่างละ
1 ราย ระดับการศึกษาปริญญาตรีขึ้นไป 3 ราย และมัธยมศึกษา 1 ราย
ความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นต่าง
ๆ ของการฆ่าตัวตายพบว่า ส่วนใหญ่ (3 ใน 4 ราย) เห็นด้วยว่าคนที่ตั้งใจฆ่าตัวตายจริงจะไม่พูดบอกคนอื่น
และไม่เห็นด้วยว่าคนที่ตั้งใจฆ่าตัวตายมักเรียกร้องความสนใจ คนที่ฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ
มักจะไม่ตั้งใจกระทำ และการเอาใจใส่คนที่พูดถึงการฆ่าตัวตายมากเกินไป
จะทำให้เขาทำซ้ำอีก ส่วนหนึ่งประเด็นซึ่งกลุ่มตัวอย่างกลุ่มนี้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในสัดส่วนที่พอ
ๆ กัน (อย่างละ 2 ราย) คือการถามถึงการฆ่าตัวตายในคนที่มีความทุกข์
จะกระตุ้นให้เขาตัดสินใจกระทำ
สำหรับความคิดเห็นต่อประเด็นที่ส่งผลให้ฆ่าตัวตายของกลุ่มตัวอย่างกลุ่มนี้พบว่าส่วนใหญ่
( 3 ใน 4 ราย) เห็นด้วยว่าภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่เกิดก่อนภาวะการฆ่าตัวตายคือความรู้สึกหมดหวัง
จุดประสงค์ของการฆ่าตัวตายเพื่อเป็นทางแก้ปัญหา เป้าหมายของการฆ่าตัวตายเพื่อต้องการยุติการดำรงชีวิต
การฆ่าตัวตายเป็นการลดความเจ็บปวดทางจิตใจ และตัวเร้าที่ทำให้เกิดภาวะการฆ่าตัวตายคือเกิดความขัดแย้งของความต้องการทางด้านจิตใจ
ส่วนในประเด็นที่กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด (4 ราย) ไม่เห็นด้วยก็คือการกระทำที่เกิดขึ้นในภาวะที่คิดฆ่าตัวตายคือความก้าวร้าว
การฆ่าตัวตายเป็นการส่งสารให้ผู้อื่นทราบถึงความตั้งใจที่จะกระทำ และการฆ่าตัวตายที่กระทำซ้ำแล้วซ้ำอีกในบุคคลถือว่าเป็นรูปแบบการปรับตัวของบุคคลนั้น
ความเชื่อเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายของกลุ่มตัวอย่างใน
4 รายนี้พบว่าให้ความสำคัญเรียงตามลำดับดังนี้
อันดับที่ 1
เป็นทางออกของปัญหา อันดับที่ 2 เป็นสิทธิส่วนบุคคล อันดับที่ 3 เป็นการหนีปัญหา
อันดับที่ 4 เป็นบาป อันดับที่ 5 เป็นเรื่องของคนป่วยทางจิต และอันดับที่
6 เป็นการเรียกร้องความสนใจ
ในประเด็นของการเคยมีบุคคลใกล้ชิดฆ่าตัวตายหรือไม่นั้น
พบว่าครึ่งต่อครึ่ง (อย่างละ 2 ราย) เคยและไม่เคยบุคคลใกล้ชิดฆ่าตัวตาย
และในประเด็นการฆ่าตัวตายเกิดจากการเลียนแบบสื่อหรือไม่นั้น
พบว่า 2 รายให้ความเห็นว่าไม่ใช่ ส่วนอีกอย่างละ 1 รายให้ความเห็นว่าใช่
และไม่แน่ใจ
อภิปรายผล
จากการศึกษาครั้งนี้พบว่ามีความชุกของความคิดฆ่าตัวตายร้อยละ
17.6 ซึ่งต่างกับการศึกษาก่อนหน้านี้ของศรีประภา ชัยสินธพ และ วรลักษณา
ธีราโมกข์ 15 พบว่ามีประมาณร้อยละ 23 การศึกษาของกนกรัตน์
สุขะตุงคะและคณะ17 พบความคิดอยากฆ่าตัวตายร้อยละ 24 ในการศึกษาประชากรทั่วไป
170 คน หรือการศึกษาของธนา นิลชัยโกวิทย์ และจักรกฤษณ์ สุขยิ่ง16
ในชุมชนหนองจอกซึ่งพบเพียงร้อยละ 5.3 ในขณะที่การศึกษาในต่างประเทศนั้นพบว่าความชุกมีตั้งแต่
ร้อยละ 2.3 จนถึงร้อยละ 23.43 26,27 ตัวเลขที่แตกต่างกันในแต่ละการศึกษาอาจเนื่องจากวิธีการศึกษา
กลุ่มประชากร และช่วงเวลาในการศึกษา สำหรับในการศึกษานี้ กลุ่มประชากรที่ใช้ศึกษาค่อนข้างจะมีลักษณะจำเพาะ
คือเฉพาะกลุ่มคนทั่วไปที่สนใจปัญหานี้ อย่างไรก็ตามความชุกที่ได้นี้บอกกับเราว่าความคิดฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในประชากรทั่วไป
ในส่วนความเชื่อที่ผิดของคนทั่วไปเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายตามแนวคิดของ
Shneidman นั้น พบว่าในกลุ่มประชากรที่ศึกษาทั้งสามกลุ่ม (กลุ่มที่ไม่เคยมีความคิดฆ่าตัวตาย
กลุ่มที่เคยมีความคิดฆ่าตัวตาย และกลุ่มที่ยังคงมีความคิดดังกล่าว)
มีความเห็นตรงกันว่า คนที่ตั้งใจฆ่าตัวตายจริง ๆ จะไม่บอกคนอื่น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วจากการศึกษา
ของ Robin และคณะในผู้ที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ (committed suicide) จำนวน
134 รายพบว่า ร้อยละ 69 มีการสื่อสารหรือแสดงให้คนรอบข้างทราบถึงเจตนาที่จะกระทำ28
เช่นเดียวกับการศึกษาของ Dorpat และ Ripley29 ในขณะที่จากการศึกษาของสมภพ
เรืองตระกูล และคณะ พบว่าประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จมีการแสดงเจตนาให้ทราบก่อนการกระทำ3
ส่วนวิธีการสื่อสารนั้นเป็นไปได้ทั้งด้วยวาจาโดยตรง เช่น พูดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย
หรือวาจาโดยอ้อม เช่น เบื่อชีวิต นอกจากนี้วิธีการสื่อสารอาจเป็นในเชิงของพฤติกรรม
เช่นติดต่อถึงเพื่อนที่ไม่ได้พบกันเป็นเวลานาน และร้อยละ 43 มีการสื่อสารในช่วง
3 เดือนก่อนการกระทำ28 ดังนั้นจากการศึกษานี้ที่พบว่าทัศนะทั่วไปมองว่าคนที่ตั้งใจฆ่าตัวตายจริง
ๆ จะไม่พูดบอกคนอื่น อาจจะมีส่วนทำให้ประชากรที่มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายถูกละเลยและไม่ได้รับการดูแล
เพราะเมื่อบุคคลเหล่านี้สื่อสารให้คนรอบข้างฟังถึงความคิดอยากตาย อาจถูกเข้าใจผิดว่า
เป็นการบ่นอย่างไม่จริงจัง หรือไม่คิดจะกระทำจริง ๆ และเมื่อพิจารณาจากคำตอบที่ไม่สามารถให้ข้อสรุปได้
ในประเด็นของการถามถึงความคิดฆ่าตัวตายในคนที่มีความทุกข์ หรือการเอาใจใส่ผู้ที่ฆ่าตัวตายมากเกินไป
จะทำให้เขาทำซ้ำอีก บ่งถึงความเห็นของคนทั่วไปว่าไม่แน่ใจถึงวิธีการในการช่วยเหลือบุคคลที่อยู่ในภาวะเสี่ยง
(เช่นบุคคลที่มี acute psychosocial stressor บุคคลที่มีลักษณะเศร้าหรือทุกข์อย่างมาก
หรือบุคคลที่มีพฤติกรรมพยายามฆ่าตัวตายมาก่อน) จุดนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ต้องกังวลมากขึ้นหากพิจารณากลุ่มคนที่เข้าฟังว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นบุคคลากรสาธารณสุข
หรือบุคคลทั่วไปที่สนใจในปัญหาการฆ่าตัวตาย
เมื่อพิจารณาความเห็นที่สอดคล้องกันของกลุ่มที่เคยคิดฆ่าตัวตายกับกลุ่มที่ยังคงคิดฆ่าตัวตายเมื่อประสบกับวิกฤตในชีวิต
พบว่าทั้งสองกลุ่มมีความเห็นตรงกันถึงปัจจัยที่ทำให้คนฆ่าตัวตาย ว่าเนื่องมาจากการฆ่าตัวตายเป็นการลดความเจ็บปวดทางด้านจิตใจ
และ ภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการฆ่าตัวตายคือความรู้สึกหมดหวัง ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ
Beck และคณะ รวมทั้งงานอื่นๆที่พบว่า ความรู้สึกสิ้นหวังมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการฆ่าตัวตาย31
ในขณะที่กลุ่มที่คิดถึงการฆ่าตัวตายเมื่อประสบวิกฤตในชีวิต มีความเห็นเพิ่มว่า
จุดประสงค์ของการฆ่าตัวตายเพื่อเป็นทางแก้ปัญหา เป้าหมายของการฆ่าตัวตายเพื่อต้องการยุติการดำรงชีวิต
และตัวเร้าที่ทำให้เกิดภาวะการฆ่าตัวตายคือการเกิดความขัดแย้งของความต้องการทางด้านจิตใจ
ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะของกลุ่มที่ยังคงคิดถึงการฆ่าตัวตายเมื่อประสบกับปัญหาที่ตัวเองไม่สามารถหาทางออกได้
การที่ความรู้สึกสิ้นหวังหรือหมดหวัง
(hopelessness) มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการฆ่าตัวตายนั้นShneidman
อธิบายว่าภาวะที่บุคคลนั้นคิดถึงการฆ่าตัวตาย (suicidal crisis) ในขณะนั้นวิธีการมองปัญหาและทางออกของปัญหามีลักษณะคับแคบ
(tunnelling of perceptions) มองได้ไม่รอบด้าน ทำให้ไม่เห็นทางออก
และนำไปสู่ความรู้สึกสิ้นหวัง (hopelessness)30 ส่วน Beck
มีทัศนะคล้าย ๆ กัน โดย Beck อธิบายว่าเกิดจากโครงสร้างวิธีคิดแบบ
negative triad คือมองตัวเองในแง่ลบ รวมถึงการมองโลกและอนาคตในแง่ลบ
ส่งผลให้เกิดความรู้สึกสิ้นหวัง และเกิดการฆ่าตัวตาย31
ในส่วนของทัศนคติเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย
พบว่าในกลุ่มที่ไม่เคยมีความคิดฆ่าตัวตายมีความเห็นร่วมกันเป็นอันดับแรกว่าการฆ่าตัวตายเป็นการหนีปัญหา
การฆ่าตัวตายเป็นบาป และเป็นเรื่องของคนป่วยทางจิต อีกทั้งความเชื่อหรือทัศนคติที่มีต่อการฆ่าตัวตายของคนกลุ่มนี้มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญกับกลุ่มที่เคยมีความคิดฆ่าตัวตาย
ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าทัศนคติของคนกลุ่มนี้เป็นทัศนะที่มองการฆ่าตัวตายในแง่ลบ
การที่กลุ่มนี้มีทัศนคติในแง่ลบต่อการฆ่าตัวตาย รวมถึงการยอมรับข้อห้ามทางศาสนาอาจเป็นคำอธิบายถึงเหตุผลว่าทำไมกลุ่มนี้จึงไม่คิดถึงการฆ่าตัวตายเมื่อประสบกับวิกฤตในชีวิต
ส่วนการที่กลุ่มที่เคยมีความคิดฆ่าตัวตายมองว่า
การฆ่าตัวตายเป็นทางออกของปัญหาเป็นสิทธิส่วนบุคคล และเป็นการหนีปัญหา
อาจเป็นเพราะการที่คนกลุ่มนี้เชื่อในเรื่องของเสรีภาพส่วนบุคคล และมีความผูกพันกับสังคมและศาสนาไม่แน่นเหนียว
จึงมองว่าการฆ่าตัวตายเป็นทางออกของปัญหา ส่วนการที่คนกลุ่มนี้เลิกคิดถึงการฆ่าตัวตาย
อาจเนื่องจากภาวะวิกฤตได้ผ่านไปแล้ว Beck อธิบายว่านอกจาก cognitive
triad ของคนที่พยายามหรือกระทำการฆ่าตัวตายเหมือนกับที่พบในผู้ป่วย
depression แล้ว คนกลุ่มนี้ยังมีลักษณะความคิดแบบ dysfunctional assumptions
(มีความเชื่อที่ไม่มีเหตุผล ทัศนะการมองโลกในแง่ลบและสิ้นหวัง) dichotomous
thinking (มองปัญหารุนแรงเกินความเป็นจริง ไม่เห็นศักยภาพของตนเอง
ประเมินผลลัพธ์ในการแก้ปัญหาในแง่ร้าย) และ problem-solving deficits
(ขาดความสามารถในการจัดการและแก้ไขปัญหา)32-37 ในกลุ่มตัวอย่างกลุ่มนี้มองการฆ่าตัวตายในลักษณะเป็นทางออกของปัญหาที่ไม่สามารถจัดการได้
ทัศนคติดังกล่าวจึงเป็นเสมือนเหตุผลที่ชอบธรรมในการเลือกแก้ปัญหาด้วยการฆ่าตัวตาย
ส่วนกลุ่มที่ยังคงคิดถึงการฆ่าตัวตายหากประสบภาวะวิกฤตในชีวิตนั้นบ่งถึงลักษณะ
cognitive ของคนกลุ่มนี้ว่า น่าจะเป็นเรื่องของบุคลิก (trait) มากกว่าภาวะ
(state) คนกลุ่มนี้จึงยังคงคิดถึงการฆ่าตัวตายเมื่อประสบวิกฤตในชีวิตอีกในครั้งหน้า
ในงานศึกษานี้พบความเกี่ยวข้องของความคิดฆ่าตัวตายกับการมีญาติ
หรือคนใกล้ชิดฆ่าตัวตาย
งานศึกษาส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะสรุปว่าสื่อมีอิทธิพลต่อการเลียนแบบ38
ในการศึกษานี้พบว่ากลุ่มที่ไม่เคยมีความคิดฆ่าตัวตายมีความเห็นว่าการลงข่าวเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายของสื่อมวลชนมีผลต่อการตัดสินใจฆ่าตัวตาย
ในขณะที่กลุ่มที่เคยมีความคิดฆ่าตัวตายมีความเห็นว่าไม่มีอิทธิพล สิ่งที่น่าสนใจคือ
การนำเสนอข่าวฆ่าตัวตายจะเกิดขึ้นมากก็ในช่วงที่สภาพสังคมเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม39
ซึ่งเป็นปัจจัยที่เอื้ออำนวยให้เกิดการฆ่าตัวตายในลักษณะ anomic suicide21
อยู่แล้ว คงเป็นการด่วนสรุปหากระบุว่า การฆ่าตัวตายที่เพิ่มขึ้นเกิดจากการเลียนแบบ
และหากลดการนำเสนอข่าวจะมีผลต่อการป้องกันการฆ่าตัวตาย รวมถึงการลดอัตราการฆ่าตัวตายลง1
ข้อเสนอแนะ
เนื่องจากกลุ่มบุคคลที่ฆ่าตัวตายสำเร็จกับกลุ่มคนที่พยายามฆ่าตัวตาย
และกลุ่มคนที่มีความคิดฆ่าตัวตายมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน และงานศึกษาชิ้นนี้พบว่าบุคคลทั่วไปยังคงมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย
การให้ความรู้ความเข้าใจกับบุคคลทั่วไปถึงความเข้าใจที่ถูกต้องว่าคนที่มีความทุกข์และพูดบ่นถึงการฆ่าตัวตายนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่จะกระทำ
รวมถึงการให้ความรู้ความเข้าใจถึงวิธีการให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสม
น่าจะเป็นวิธีการที่มีความเป็นไปได้วิธีหนึ่งในการลดอัตราการฆ่าตัวตาย
โดยการให้ความช่วยเหลือตั้งแต่อยู่ในขั้นของความคิดก่อนที่จะนำไปสู่การปฎิบัติ
สรุปผลการศึกษา
ความชุกของความคิดที่จะฆ่าตัวตาย
พบร้อยละ 17.6
กลุ่มตัวอย่างมีความเห็นที่สอดคล้องกันใน
3 ประเด็นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 ในประเด็นดังนี้คือ
ส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าคนที่ตั้งใจฆ่าตัวตายจริง ๆ จะไม่พูดบอกคนอื่น
และไม่เห็นด้วยว่า คนที่ฆ่าตัวตาย มักจะทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ กับ
ไม่เห็นด้วยว่าคนที่ฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ มักจะไม่ตั้งใจจริง
กลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นที่ไม่สอดคล้องกันใน
2 ประเด็นคือ เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในสัดส่วนที่ไม่แตกต่างกันว่าการถามถึงความคิดฆ่าตัวตายในคนที่มีความทุกข์
จะกระตุ้นให้เขาเกิดการตัดสินใจกระทำ และการเอาใจใส่คนที่พูดถึงการฆ่าตัวตายมากเกินไป
จะทำให้เขาทำซ้ำอีก
ส่วนความคิดเห็นที่กลุ่มผู้ที่ไม่เคยฆ่าตัวตายมีความเห็นด้วยในสัดส่วนที่สูงกว่ากลุ่มผู้ที่เคยมีความคิดฆ่าตัวตายคือ
การฆ่าตัวตายเกิดจากการเลียนแบบสื่อ ในขณะที่กลุ่มผู้ที่เคยมีความคิดฆ่าตัวตายมีสัดส่วนที่สูงกว่าคือ
การเคยมีบุคคลใกล้ชิดฆ่าตัวตาย และ ถ้าประสบวิกฤตในชีวิตจะเลือกวิธีการฆ่าตัวตาย
สำหรับความเชื่อเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายนั้น
พบว่ากลุ่มผู้ที่ไม่เคยมีความคิดฆ่าตัวตายเห็นว่า การฆ่าตัวตายเป็นการหนีปัญหา
เป็นบาป และเป็นเรื่องของคนป่วยทางจิต ในขณะที่กลุ่มผู้ที่เคยมีความคิดฆ่าตัวตายมีความเชื่อว่า
การฆ่าตัวตายเป็นทางออกของปัญหา เป็นสิทธิส่วนบุคคล และเป็นการหนีปัญหา
ในกลุ่มผู้ที่เคยมีความคิดฆ่าตัวตายยังพบว่าประเด็นที่ส่งผลให้คิดฆ่าตัวตายนั้นคือ
ภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการฆ่าตัวตายคือความรู้สึกหมดหวัง การรับรู้ในภาวะที่คิดฆ่าตัวตายคือความรู้สึกมืดมนไม่เห็นทางออกของปัญหา
และการฆ่าตัวตายเป็นการลดความเจ็บปวดทางจิตใจ
เอกสารอ้างอิง
ประเวช
ตันติพิวัฒนสกุล, สุรสิงห์ วิศรุตรัตน์. การฆ่าตัวตาย : การสอบสวนหาสาเหตุและการป้องกัน.
กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์พลัสเพรส,
2541.
2. สมภพ เรืองตระกูล,
อรพรรณ ทองแตง, เกรียงไกร แก้วผนึกรังษี. การศึกษาเรื่องการฆ่าตัวตายในผู้ป่วย
8
ราย. สารศิริราช
2517; 26:2077-93.
3. สมภพ เรืองตระกูล,
อรพรรณ ทองแตง, เกรียงไกร แก้วผนึกรังษี, กนกรัตน์ สุขะตุงคะ. ลักษณะเฉพาะของ
ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรม
: การศึกษาผู้ป่วย 27 ราย. สารศิริราช 2518; 27:771-85.
4. สมพร บุษราทิจ,
ทองพูน วิจารณ์รัฐขันธ์. อัตราการฆ่าตัวตายในประเทศไทย. วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่ง
ประเทศไทย 2521;
23:158-67.
5. สุชาติ พหลภาคย์,
ผกาพันธุ์ วุฒิลักษณ์. วิจัยการฆ่าตัวตายในสังคมไทย. วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่ง
ประเทศไทย 2527;29:163-82.
6. สุนันทา
ฉันทรุจิกพงศ์, เกรียงไกร แก้วผนึกรังษี, สมภพ เรืองตระกูล. อัตวินิบาตกรรมของผู้ป่วยที่รับไว้
รักษาในโรงพยาบาลศิริราช.
วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย 2529; 31:111-7.
7. สุดสบาย
จุลกทัพพะ. การสำรวจภาวะการฆ่าตัวตายในประเทศไทย 2533. สารศิริราช
2536; 45:245-54.
8. สมภพ เรืองตระกูล,
อรพรรณ ทองแตง, เกรียงไกร แก้วผนึกรังษี, กนกรัตน์ สุขะตุงคะ. การศึกษาผู้ป่วย
พยายามฆ่าตัวตายจำนวน
105 รายในโรงพยาบาลศิริราช. สารศิริราช 2518; 27:317-34.
9. สุวัทนา
อารีพรรค. การพยายามฆ่าตัวตายของคนไทย.วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
2522; 24:261-82.
10. ปิยะฉัตร
เนินเลิศ. การศึกษาปัญหาทางสังคมของผู้กระทำอัตวินิบาตกรรม : ศึกษาเฉพาะกรณีผู้มารับการ
รักษา ณ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์
โรงพยาบาลศิริราช (วิทยานิพนธ์). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,
2524.
11. สุชาติ
พหลภาคย์. ผู้พยายามฆ่าตัวตายที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์.
วารสารสมาคมจิต
แพทย์แห่งประเทศไทย
2530; 32:111-24.
12. ไพรัตน์
พฤกษ์ชาติคุณากร, ปริทรรศ ศิลปกิจ. ผู้ที่พยายามฆ่าตัวตาย และผู้ที่ฆ่าตัวตายสำเร็จที่รับไว้รักษา
ในโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่
พ.ศ.2522-2530. สงขลานครินทร์เวชสาร 2535;10:101-12.
13. ไพฑูรย์
ณรงค์ชัย. สาเหตุการฆ่าตัวตายพบที่โรงพยาบาลนครเชียงใหม่ ปีพ.ศ.2532-2536.
เชียงใหม่เวช
สาร 2538;34:15-21
14. ประเสริฐ
ผลิตผลการพิมพ์, อัปษรศรี ธนไพศาล, สุพรรณี เกกินะ. รายงานผู้ป่วยพยายามฆ่าตัวตาย
485 คน
ของโรงพยาบาลศูนย์เชียงรายประชานุเคราะห์.
วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย 2541;43:2-13.
15. ศรีประภา
ชัยสินธพ, วรลักษณา ธีราโมกข์. ความคิดเห็นของคนในกรุงเทพมหานครต่อเรื่องการทำอัต
วินิบาตกรรม.
เสนอในการประชุมวิชาการประจำปีของสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย และวิทยาลัยจิต
แพทย์แห่งประเทศไทย
ครั้งที่ 20, 16-17 กรกฎาคม 2535, โรงแรมเซ็นทรัลพลาซ่า, กรุงเทพมหานคร.
16. ธนา นิลชัยโกวิทย์,
จักรกฤษณ์ สุขยิ่ง. ความคิดอยากฆ่าตัวตายในประชาชนเขตหนองจอก
กรุงเทพมหานคร
: รายงานเบื้องต้น. วารสารสมาคมจิตแพทย์ แห่งประเทศไทย 2540; 42:77-87.
17. กนกรัตน์
สุขะตุงคะ, โกวิทย์ บูรณสัมฤทธิ์. ทัศนคติของชาวบ้านต่อการฆ่าตัวตาย.
วารสารจิตวิทยาคลินิค.
2520; 8:36-43.
18. ธีรศักดิ์
ศาสตรา. การสื่อสารก่อนการฆ่าตัวตายในผู้พยายามฆ่าตัวตาย. งานวิจัยเพื่อการสอบวุฒิบัตร
สาขาจิตเวชศาสตร์.
ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, 2542.
19. Diekestra
RFW. The epidemiology of suicide and parasuicide. In: Diekstra R,
ed. Preventive
strategies
on suicide. Leiden, Brill, 1995:1-34.
20. Adam KS.
Environmental, psychosocial, and psychoanalytic aspects of suicidal
behavior. In:
Blumenthal
SJ, Kupfer DJ, eds. Suicide over the life cycle. Washington: American
Psychiatric
Press, 1990:39-96.
21. Durkheim
E. Suicide: a study in sociology. London: Routledge and Kegan Paul,
1952.
22. Diekestra
R. The epidemiology of suicide and parasuicide. Acta Psychiatr Scand
1993; 371
(suppl):9-20.
23. Bongar
B. The suicidal patient: clinical and legal standards of care. Washington:
American
Psychological
Association, 1996.
24. Shneidman
ES. Introduction: current over-view of suicide. In: Shneidman ES,
ed. Suicidology :
Contemporary
developments. London: Grune& Stratton,1976.
25. Blumenthal
SJ. An overview and synopsis of risk factors, assessment, and treatment
of suicidal
patients over
the life cycle. In: Blumenthal SJ, Kupfer DJ, eds. Suicide over
the life cycle,
Washington:
American Psychiatric Press,1990 : 685-734.
26. Paykel
ES, Meyers JK, Lindenthal JJ, Tanner J. Suicidal feelings in the
general population: a
prevalence
study. Br J Psychiatry 1974; 124:460-9.
27. Swanson
JW, Linskey AO, Quintero-Salinas R, Pumariega AJ, Holzer CE. A binational
school
survey of depressive
symptoms, drug use, and suicidal ideation. J Am Acad Child Adolesc
Psychiatry
1992; 31:669-78.
28. Robins
E, Gassner S, Kayes J, et al. The communication of suicidal intent:
a study of 134
consecutive
cases of successful (completed) suicide. Am J Psychiatry 1959; 115:724-33.
29. Dorpat
Tl, Ripley HS. A study of suicide in Seattle are. Compr Psychiatry
1960; 1:349-59.
30. Shneidman
E. Definition of suicide. New York: John Wiley,1975.
31. Beck AT,
Kovacs M, Weisman A. Hopelessness and suicidal behaviour : an overview.
J Am
Med Assoc 1975;
234:1146-9.
32. Cole DA.
Hopelessness, social desirability, depression and parasuicide in
two college samples.
J Consult Clin
Psychol 1980; 56:131-6.
33. Minkoff
K, Bergman E, Beck AT, Beck R. Hopelessness depression and attempted
suicide. Am
J Psychiatry
1973;130:455-9.
34. Wetzel
RD, Margulies T, Davis R, Karam E. Hopelessness, depression and
suicidal intent. J Clin
Psychiatry
1980;41:159-60.
35. Beck AT,
Steer RA, Kovacs M, Garrison B. Hopelessness and eventual suicide:
10 year
prospective
study of patients hospitalized with suicidal ideation. Am J Psychiatry
1985;142:559-
63.
36. Weishaar
ME, Beck AT. Cognitive Approaches to understanding and treating
suicidal behavior.
In: Blumenthal
SJ, Kupfer DJ, eds. Suicide over the life cycle. Washington: American
Psychiatric
Press, 1990;469-98.
37. Arffa S.
Cognition and suicide: a methodological review. Suicide Life Threat
Behav
1983; 13:109-22.
38. Gould MS,
Shaffer D. The impact of suicide in television movies: evidence
of imitation. N Engl J
Med 1986; 315:690-4.
39. Buda M,
Tsuang MT. The epidemiology of suicide: Implications for clinical
practice. In:
Blumenthal
SJ, Kupfer DJ, eds. Suicide over the life cycle. Washington: American
Psychiatric
Press, 1990:17-38.