ปัจจัยหลายประการมีผลต่อสุขภาพจิตของวัยรุ่น
เช่น ผู้หญิงรายงานปัญหาทางจิตเวช ( psychiatric distress ) และโรคอารมณ์แปรปรวนมากกว่าผู้ชายสองเท่า
อาจเป็นเพราะบทบาททางสังคมของผู้หญิงทำให้ต้องประสบกับความเครียดเรื้อรังมากกว่าผู้ชาย
ผู้หญิงโดยเฉลี่ยเสี่ยงมากกว่า ผู้ชายที่จะได้รับผลกระทบเมื่อพบเหตุการที่เครียด
อาจเป็นเพราะผู้หญิงได้รับการสนับสนุนทางสังคม (social support) น้อยกว่าผู้ชาย
5 ในประเทศไทยมีการศึกษาพบว่าวัยรุ่นหญิงมีปัญหาสุขภาพจิตมากกว่าวัยรุ่นชาย6
ดังเช่นการศึกษาของเปรมสุรีย์ เชื่อมทอง ซึ่งพบว่าวัยรุ่นหญิงมีปัญหาสุขภาพจิตมากกว่าวัยรุ่นชายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ในด้านย้ำคิดย้ำทำ ไม่ชอบติดต่อกับผู้อื่น ซึมเศร้า วิตกกังวล กลัวโดยปราศจากเหตุผล
และหวาดระแวง7 ดังนั้นเพศ จึงเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่สัมพันธ์กับสุขภาพจิตของวัยรุ่น
ช่วงอายุเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สัมพันธ์กับสุขภาพจิตของวัยรุ่น
มีการศึกษาพบว่าโรคจิตพบได้น้อยในวัยเด็ก และจะพบได้มากขึ้นเรื่อย
ๆ หลังจากเข้าสู่วัยรุ่น8 โดยที่วัยรุ่นตอนกลางมีปัญหาสุขภาพจิตมากกว่าวัยรุ่นตอนต้น6
โดยเฉพาะในด้านความรู้สึกป่วยทางกาย อาการซึมเศร้า และอาการวิตกกังวล7
สภาพครอบครัว อาชีพของผู้ปกครอง
และฐานะทางเศรษฐกิจ อาจเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตของวัยรุ่น
วัยรุ่นจากครอบครัวแตกแยก มีมโนภาพแห่งตน (self concept) ต่ำกว่า ซึมเศร้าและวิตกกังวลมากกว่าวัยรุ่นที่มาจากครอบครัวปกติ9
นักเรียนที่ผู้ปกครองประกอบอาชีพรับราชการ ลูกจ้างรัฐบาลหรือทำงานรัฐวิสาหกิจมีมโนภาพแห่งตนดีกว่านักเรียนที่ผู้ปกครองประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป10
นักเรียนวัยรุ่นที่มีระดับเศรษฐกิจต่ำมีมโนภาพแห่งตนต่ำกว่า ซึมเศร้า
และวิตกกังวลมากกว่านักเรียนที่ครอบครัวมีฐานะปานกลางหรือสูง 9
จะเห็นได้ว่าการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าสุขภาพจิตของวัยรุ่นในโรงเรียน
มีความแตกต่างกันตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น เพศ อายุ สภาพครอบครัว ฐานะทางเศรษฐกิจ
การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะสุขภาพจิตวัยรุ่นในนักเรียนมัธยมในเขตเทศบาลชัยภูมิในด้านต่าง
ๆ และเพื่อเปรียบเทียบ สุขภาพจิตของนักเรียนมัธยมว่ามีความแตกต่างตามตัวแปรด้านเพศ
อายุ สภาพครอบครัว อาชีพของผู้ปกครองและฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว
หรือไม่อย่างไร ทั้งนี้เพื่อนำไปเป็นข้อมูลพื้นฐานในการดำเนินงานสุขภาพจิตในวัยรุ่นต่อไป
วัสดุและวิธีการ
กลุ่มประชากรในการศึกษาครั้งนี้
ได้แก่ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่าในเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิ
ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2540 รวมจำนวนนักเรียนทั้งหมด
19,034 คน ใน สถาบันการศึกษา 7 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนชัยภูมิภักดีชุมพล
โรงเรียนสตรีชัยภูมิ โรงเรียนเมืองพญาแล วิทยาลัยเทคนิคชัยภูมิ วิทยาลัยพลศึกษา
วิทยาลัยเกษตรกรรมชัยภูมิ และศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน นักเรียนทั้งหมดจะได้รับการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม
(cluster sampling) คำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างตามสูตรของ Yamane11
โดยให้มีความคลาดเคลื่อนได้ไม่เกินร้อยละ 5 จำนวนกลุ่มตัวอย่างที่คำนวณได้คือ
391 คน
ผู้วิจัยได้ใช้แบบสำรวจ ซึ่งประกอบด้วยส่วนต่าง
ๆ ดังนี้
ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามด้านลักษณะข้อมูลประชากรทั่วไป
ได้แก่ เพศ อายุ สภาพครอบครัว อาชีพของผู้ปกครอง และรายได้ของครอบครัว
ตอนที่ 2 เป็นแบบทดสอบ Symptoms
Checklist 90 (SCL-90) เป็น self-report rating scale ซึ่ง ละเอียด
ชูประยูร12 ดัดแปลงมาจาก แบบทดสอบสุขภาพจิต ของ Derogatis
และคณะ แบบทดสอบนี้ได้รับการหาเกณฑ์มาตรฐาน หาความเที่ยงตรง (validity)
ความเชื่อมั่น (reliability) แล้วโดยผู้วิจัยหลายท่าน7,13,14
แบบทดสอบ SCL-90 นี้ประกอบด้วยแบบทดสอบกลุ่มอาการต่าง ๆ ทางสุขภาพจิตของบุคคลที่มีอายุระหว่าง
15-67 ปี จำนวน 90 ข้อ โดยใช้มาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับดังนี้ 0
= ไม่เลย, 1 = เล็กน้อย, 2 = ปานกลาง, 3 = ค่อนข้างมาก, 4 = มากที่สุด
และแบ่งลักษณะความผิดปกติออกเป็น 9 ด้าน คือ ด้านความรู้สึกผิดปกติของร่างกาย
(somatization), ด้านย้ำคิดย้ำทำ (obsessive-compulsive), ด้านความรู้สึกไม่ชอบติดต่อกับผู้อื่น
(interpersonal sensitivity), ด้านซึมเศร้า (depression), ด้านวิตกกังวล
(anxiety), ด้านความเป็นอริ (hostility), ด้านกลัวโดยปราศจากเหตุผล
(phobia), ด้านหวาดระแวง(paranoid) และด้านอาการทางจิต (psychosis)
เมื่อตรวจให้คะแนนแบบสำรวจ SCL-90
แล้วจะใช้เกณฑ์การตัดสินความผิดปกติ 2 วิธีคือ วิธีแรก จะนำคะแนนรวมและคะแนนแต่ละด้านไปแปลงเป็นคะแนนมาตรฐาน
t-score ค่า t-score ที่สูงกว่า 60 ถือว่าผิดปกติ วิธีที่สองจะนำคะแนนแต่ละด้านเปรียบเทียบกับคะแนนมาตรฐานของคนปกติที่
ละเอียด ชูประยูร12 ได้ทำการศึกษาไว้ การตัดสินความผิดปกติในแต่ละเพศจะนำคะแนนรวมและคะแนน
แต่ละด้านแยกตามเพศแล้วหาค่า t-score ในแต่ละเพศ ค่า t-score ที่สูงกว่า
60 ถือว่าผิดปกติ การตัดสินความผิดปกติในแต่ละกลุ่มอายุก็จะใช้ค่า
t-score ของแต่ละกลุ่มอายุเป็นการตัดสินเช่นเดียวกัน
ผู้วิจัยได้จัดส่งแบบสำรวจ ถึงกลุ่มตัวอย่างจำนวน
391 ชุด ที่ห้องเรียนและได้แบบสอบถามคืนทั้งหมด 391 ชุด นำมาตรวจสอบความสมบูรณ์
แล้วตรวจให้คะแนนแบบทดสอบ SCL-90 ตามมาตรฐานที่แบบทดสอบกำหนดไว้ จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป
SPSS/PC คำนวณ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และ chi square
ผลการศึกษา
1. ลักษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 391 คน เป็นชาย 196 คน หญิง 195 คน อายุตั้งแต่
13-18 ปี ส่วนมากอายุอยู่ในช่วง 16-18 ปี (ร้อยละ 72.6) สภาพครอบครัวส่วนมากจะรักใคร่ปรองดองกันดี
(ร้อยละ 74.2) ผู้ปกครองส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้าง (ร้อยละ 40.2) รายได้ของครอบครัวส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง
(5,000-10,000 บาทต่อเดือน ร้อยละ 42.7) ตามรายละเอียดในตารางที่ 1
2. จากการวิเคราะห์ปัญหาสุขภาพจิตของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ค่า
t -score จากแบบทดสอบ SCL-90 พบว่า นักเรียนในเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิมีปัญหาสุขภาพจิตโดยรวมร้อยละ
15.60 ด้านที่พบความผิดปกติมากที่สุดได้แก่ ด้านย้ำคิดย้ำทำ (ร้อยละ
17.90) รองลงไปได้แก่ ด้านอาการทางจิต (ร้อยละ 17.39) ด้านวิตกกังวล
(ร้อยละ 16.62) และด้านกลัวโดยปราศจากเหตุผล (ร้อยละ 16.62) ตามรายละเอียดในตารางที่
2 แต่เมื่อใช้ค่าปกติที่ ละเอียด ชูประยูรได้ศึกษามาก่อนเป็นเกณฑ์ตัดสินความผิดปกติพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีปัญหาสุขภาพจิตในด้านกลัวโดยปราศจากเหตุผลมากที่สุด
(ร้อยละ40.90) รองลงไปได้แก่ ด้านซึมเศร้า (ร้อยละ 35.50) และด้านอาการทางจิต
(ร้อยละ 30.90) ตามรายละเอียดในตารางที่ 2
3. การเปรียบเทียบปัญหาสุขภาพจิตด้านต่าง
ๆ ในกลุ่มตัวอย่างเพศชายกับเพศหญิงโดยใช้ค่า t-score ที่มากกว่า 60
ของแต่ละกลุ่มอายุเป็นเกณฑ์ตัดสินความผิดปกติ พบว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทุกด้าน
ตามรายละเอียดในตารางที่ 3
4. การเปรียบเทียบปัญหาสุขภาพจิตด้านต่าง
ๆ ในกลุ่มตัวอย่างที่มีกลุ่มอายุต่างกันโดยใช้ค่า t-score ที่มากกว่า
60 เป็นเกณฑ์ตัดสินความผิดปกติ พบว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทุกด้านตามรายละเอียดในตารางที่
4
5. การเปรียบเทียบปัญหาสุขภาพจิตด้านต่าง
ๆ ในกลุ่มตัวอย่างที่มี สภาพครอบครัวต่างกัน พบว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทุกด้าน
ไม่ว่ากลุ่มตัวอย่างจะมีบิดามารดาที่รักใคร่ปรองดองกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน
แยกกันอยู่หรือหย่าร้าง ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตหรือเสียชีวิตทั้งคู่ก็ตาม
ตามรายละเอียดในตารางที่ 5
6. การเปรียบเทียบปัญหาสุขภาพจิตด้านต่าง
ๆ ในกลุ่มตัวอย่างที่ผู้ปกครองมีอาชีพต่างกัน พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ผู้ปกครองมีอาชีพต่างกันมีความผิดปกติด้านความเป็นอริ
และด้านหวาดระแวงต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ กลุ่มตัวอย่างที่ผู้ปกครองมีอาชีพรับราชการหรือทำงานรัฐวิสาหกิจความผิดปกติด้านความเป็นอริและด้านหวาดระแวงสูงที่สุด
(ร้อยละ 28.57 และร้อยละ24.68 ตามลำดับ) ตามรายละเอียดในตารางที่ 6
7. การเปรียบเทียบปัญหาสุขภาพจิตด้านต่าง
ๆ ในกลุ่มตัวอย่างที่ผู้ปกครองมีรายได้ต่างกัน พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ผู้ปกครองมีรายได้ต่างกัน
มีปัญหาสุขภาพจิตด้านต่าง ๆ ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติในทุกด้าน
ตามรายละเอียดในตารางที่ 7
วิจารณ์
การศึกษาครั้งนี้ใช้ค่า t-score
ที่ 60 เป็นเกณฑ์การตัดสินความผิดปกติ พบว่านักเรียนมัธยมในเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิมีปัญหาสุขภาพจิตโดยรวมร้อยละ
15.60 ปัญหาสุขภาพจิตด้านต่าง ๆ ค่อนข้างใกล้เคียงกันคืออยู่ระหว่างร้อยละ
14.07 ถึงร้อยละ 17.90 โดยพบว่ามีความผิดปกติในด้านย้ำคิดย้ำทำมากที่สุด
ต่างกับการศึกษาในประเทศเนเธอร์แลนด์ที่พบว่าวัยรุ่นมีความผิดปกติในด้าน
simple phobia และกลัวการเข้าสังคม (social phobia) มากที่สุด15
อาจเนื่องจากในแต่ละพื้นที่มีวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมแตกต่างกัน จึงทำให้มีปัญหาสุขภาพจิตแตกต่างกันไปด้วย
การดำเนินงานทางสุขภาพจิตจึงต้องคำนึงถึงปัญหาสุขภาพจิตในพื้นที่ที่ดำเนินการด้วย
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างการใช้เกณฑ์การตัดสินความผิดปกติโดยใช้ค่า
t-score ของการศึกษาครั้งนี้ กับการใช้เกณฑ์การตัดสินความผิดปกติที่
ละเอียด ชูประยูร เคยทำการศึกษาไว้8 จะพบว่าการใช้เกณฑ์การตัดสินความผิดปกติที่
ละเอียด ชูประยูร เคยทำการศึกษาไว้จะทำให้ได้ผู้มีปัญหาสุขภาพจิตสูงกว่าการใช้เกณฑ์การตัดสินความผิดปกติโดยใช้ค่า
t-score ของการศึกษาครั้งนี้ค่อนข้างมากในทุก ๆ ด้าน แต่ว่าการใช้เกณฑ์การตัดสินความผิดปกติที่
ละเอียด ชูประยูร เคยทำการศึกษาไว้อาจมีข้อจำกัดในการแปลผล เนื่องจากค่า
t-score ของคนปกติในการศึกษาของ ละเอียด ชูประยูรได้ข้อมูลจากนักเรียนพยาบาล
นักเรียนนายเรือ นักเรียนจ่าอากาศ และนักเรียนโรงเรียนสารพัดช่าง ซึ่งอาจจะไม่เหมาะสมต่อการนำมาเป็นค่าปกติในนักเรียนมัธยม
จึงน่าจะใช้ค่า t-score ของการศึกษาครั้งนี้เป็นเกณฑ์ตัดสินความผิดปกติมากกว่า
การศึกษาครั้งนี้พบว่ามีปัจจัยต่าง
ๆ มีผลต่อสุขภาพจิตของนักเรียนระดับมัธยมดังนี้
1. นักเรียนเพศหญิงและเพศชายมีปัญหาสุขภาพจิตไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ต่างจากการศึกษาก่อน ๆ หน้านี้ เช่น Casper และคณะ ซึ่งศึกษาอาการทางจิตเวชของนักเรียนมัธยมพบว่าวัยรุ่นหญิงมีความกดดันทางอารมณ์
(emotional distress) โดยเฉพาะอารมณ์เศร้าและวิตกกังวลมากกว่าวัยรุ่นชาย16
การศึกษาของ เปรมสุรีย์ เชื่อมทอง ที่พบว่า วัยรุ่นหญิงมีปัญหาสุขภาพจิตมากกว่าวัยรุ่นชายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ในด้านย้ำคิดย้ำทำ ไม่ชอบติดต่อกับผู้อื่น ซึมเศร้า วิตกกังวล กลัวโดยปราศจากเหตุผล
และหวาดระแวง7 และจากการศึกษาของธนู ชาติธนานนท์ซึ่งสำรวจปัญหาสุขภาพจิตของนักเรียนวัยรุ่นในจังหวัดชัยนาทจำนวน
215 คน เปรียบเทียบกับคนไข้ที่มารับบริการทางจิตเวช จำนวน 65 คน โดยใช้แบบสอบถาม
Cornell Medical Index (CMI) พบว่ากลุ่มนักเรียนหญิงมีปัญหาทางด้านจิตใจและอารมณ์มากกว่ากลุ่มนักเรียนชาย17
การที่ผลการศึกษาครั้งนี้ต่างจากผลงานการวิจัยที่กล่าวมาแล้วอาจเป็นเพราะการศึกษาครั้งนี้ใช้ค่า
t-score ของแต่ละเพศเป็นเกณฑ์การตัดสินความผิดปกติซึ่งเมื่อแยกคิดค่า
t-score ของเพศหญิงและเพศชายออกจากกันแล้ว จะได้เกณฑ์การตัดสินความผิดปกติที่
t-score เท่ากับ 60 ต่างกันค่อนข้างมากตามตารางที่ 3 ผู้วิจัยมีความเห็นว่าเกณฑ์การตัดสินความผิดปกติของแต่ละเพศไม่น่าจะสามารถใช้เกณฑ์เดียวกันได้
เช่น วัยรุ่นหญิงอาจจะมีคะแนนด้านซึมเศร้าผิดปกติเมื่อเทียบวัยรุ่นชาย
แต่เมื่อเทียบกับกลุ่มวัยรุ่นหญิงด้วยกันแล้วก็อาจจะยังไม่ผิดปกติก็ได้
ดังนั้นแต่ละเพศน่าจะมีเกณฑ์การตัดสินความผิดปกติของแต่ละเพศต่างกัน
เมื่อใช้เกณฑ์การตัดสินความผิดปกติแยกกันแล้วอาจจะพบว่าเพศหญิงและเพศชายมีปัญหาสุขภาพจิตไม่แตกต่างกันก็ได้
2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่กลุ่มอายุต่างกัน
มีปัญหาสุขภาพจิตไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งแตกต่างจากผลการศึกษาปัญหาสุขภาพจิตของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร
ปี 2529 ของ อัมพร โอตระกูล 18 ที่พบว่าปัญหาสุขภาพจิตโดยรวมในกลุ่มอายุต่าง
ๆ มีดังนี้ กลุ่มอายุ 0-3 ปี มีปัญหาร้อยละ 29.8, กลุ่มอายุ 4-7 ปี
มีปัญหาร้อยละ 29, กลุ่มอายุ 7-16 ปี มีปัญหาร้อยละ 37.9 และกลุ่มอายุ
16 ปีขึ้นไป มีปัญหาร้อยละ 48.7 และแตกต่างจากการศึกษาของดวงเดือน
พันธุมนาวิน และเพ็ญแข ประจนปัจจนึก6 ที่ศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ภายในครอบครัวกับสุขภาพจิตของนักเรียนวัยรุ่น
ทั้งชายและหญิงที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ในกรุงเทพมหานครและสงขลา
ที่มีอายุ 13-17 ปี จำนวน 917 คน ผลการวิจัยพบว่าวัยรุ่นตอนกลางมีปัญหาสุขภาพจิตมากกว่าวัยรุ่นตอนต้น
เช่นเดียวกันกับ เปรมสุรีย์ เชื่อมทอง ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบปัญหาสุขภาพจิตของวัยรุ่นในสถานสงเคราะห์กับวัยรุ่นในโรงเรียนพบว่าวัยรุ่นตอนกลางมีปัญหาสุขภาพจิตมากกว่าวัยรุ่นตอนต้น
ในด้านความรู้สึกป่วยทางกาย ซึมเศร้า และวิตกกังวล7
การที่ผลการศึกษาครั้งนี้ต่างจากการศึกษาก่อนหน้านี้
มิได้เป็นเพราะการใช้เกณฑ์การตัดสินความผิดปกติแยกกันระหว่างกลุ่มอายุ
เพราะค่า t-score ที่ 60 ของทั้งสองกลุ่มอายุก็ใกล้เคียงกัน แต่อาจเป็นเพราะทำการศึกษาในกลุ่มตัวอย่างในพื้นที่ที่ต่างกันก็อาจพบปัญหาสุขภาพจิตที่อาจแตกต่างกันได้จึงควรทำการศึกษาเพิ่มเติมในโอกาสต่อไป
3. นักเรียนที่มีสภาพครอบครัวต่างกัน
มีปัญหาสุขภาพจิตไม่แตกต่างกันในทุกด้าน ผลการศึกษานี้แตกต่างจากการศึกษาอื่น
ๆ ก่อนหน้านี้ เช่น การศึกษาของ ชิรวัฒน์ นิจเนตร9 ได้ทำการศึกษาถึงความเกี่ยวพันระหว่างสภาพแวดล้อมในโรงเรียนกับสุขภาพจิต
5 ด้านของนักเรียนวัยรุ่น ซึ่งประกอบด้วยอาการทางกาย มโนภาพแห่งตน
ความซึมเศร้า ความวิตกกังวล ความก้าวร้าว และสุขภาพจิตโดยรวมกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
5 และเทียบเท่า ซึ่งเรียนอยู่ในสถานศึกษาของกรมสามัญศึกษา และกรมอาชีวศึกษา
ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 1,122 คน ผลการศึกษาครั้งนั้นพบว่า วัยรุ่นจากครอบครัวแตกแยกจะมีสุขภาพจิตเสื่อมกว่าวัยรุ่นที่มาจากครอบครัวปกติ
มีปัจจัยหลายประการที่อาจจะทำให้เกิดความแตกต่างนี้
เช่น สถานที่ทำการศึกษาต่างกัน ลักษณะของครอบครัวขยายที่ยังมีอยู่มากกว่าในต่างจังหวัดอาจจะมีญาติผู้ใหญ่ทำหน้าที่แทนบิดามารดาในกรณีที่ครอบครัวแตกแยก
ดังนั้นจึงควรมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป ในแง่ที่ว่าวัยรุ่นจากครอบครัวเดี่ยวที่แตกแยกจะมีสุขภาพจิตแตกต่างจากวัยรุ่นจากครอบครัวขยายที่แตกแยกหรือไม่
อย่างไร
4. นักเรียนที่ผู้ปกครองมีอาชีพต่างกัน
มีปัญหาสุขภาพจิตในด้านความเป็นอริและด้านหวาดระแวงแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
โดยนักเรียนที่ผู้ปกครองมีอาชีพรับราชการหรือทำงานรัฐวิสาหกิจมีสุขภาพจิตด้านความเป็นอริและด้านหวาดระแวงสูงกว่านักเรียนที่ผู้ปกครองมีอาชีพค้าขายและรับจ้าง
ผลดังกล่าวอาจเกิดขึ้นผ่านกลไกหลายอย่าง
เช่น ทัศนะของผู้ปกครองในการเลือกอาชีพ อาจแสดงถึงทัศนะในการเลี้ยงดูบุตร
ผู้ปกครองที่มีอาชีพหนึ่งอาจมีทัศนะในการเลี้ยงดูบุตรต่างจากผู้ปกครองที่มีอาชีพอีกอาชีพหนึ่ง
อาชีพของผู้ปกครองอาจจะกระทบถึงเวลาในการเลี้ยงดูบุตร และสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวที่มีอาชีพต่างกันก็อาจจะแตกต่างกัน
เช่น บุตรของครอบครัวข้าราชการอาจจะติดต่อกับบุคคลภายนอกน้อยกว่าบุตรของครอบครัวค้าขายที่ช่วยผู้ปกครองติดต่อกับลูกค้าตลอดเวลา
เป็นต้น
เป็นที่น่าสังเกตว่า
นักเรียนที่ผู้ปกครองมีอาชีพรับราชการหรือทำงานรัฐวิสาหกิจมีแนวโน้มจะมีความหวาดระแวงและความเป็นอริ
เนื่องจากยังไม่มีการศึกษาที่ได้ผลเช่นนี้มาก่อน จึงควรจะมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยัน
และศึกษาหาสาเหตุต่อไป
5. นักเรียนที่ผู้ปกครองรายได้ต่างกัน
มีปัญหาสุขภาพจิตไม่แตกต่างกัน ผลการศึกษานี้ต่างจากการศึกษาของ ชิรวัฒน์
นิจเนตร ที่พบว่านักเรียนที่มีระดับเศรษฐกิจต่ำ มีมโนภาพแห่งตนต่ำกว่า
อาการซึมเศร้าและวิตกกังวลมากกว่านักเรียนที่ครอบครัวมีฐานะปานกลางหรือสูง
9 แต่กลับสอดคล้องกับความเห็นของ ประดินันท์ อุปรมัย19
ที่กล่าวว่าครอบครัวที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมต่ำ บิดามารดาหรือผู้ปกครองมีภาระหน้าที่โดยตรงต่อการหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว
จำเป็นต้องให้เวลากับการทำงานมากจนไม่มีเวลาที่จะอบรมเลี้ยงดูเด็ก
และการมีสภาพเศรษฐกิจและสังคมต่ำ ทำให้สมาชิกในครอบครัวไม่ได้รับการตอบสนองตามต้องการอย่างเพียงพอ
ขาดโอกาสที่จะแสวงหาความบันเทิงเพื่อผ่อนคลายความเครียด อย่างไรก็ตามครอบครัวที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง
หัวหน้าครอบครัวมีภาระต้องทำมากและมีเงินมากพอที่จะจ้างผู้อื่นมาเลี้ยงดูเด็กแทนตน
ทำให้การอบรมเลี้ยงดูเด็กเป็นไปตามอารมณ์และลักษณะนิสัยของผู้เลี้ยงมากกว่าจะคำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก
นอกจากนี้บิดามารดาที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูงจำนวนไม่น้อยมักเลี้ยงลูกแบบตามใจทุกอย่าง
และปกป้องลูกมากเกินไป ทำให้เด็กขาดความเข้าใจในสิ่งที่ควรและไม่ควร
เอาแต่ใจตัวเอง ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว
ไม่ว่าต่ำหรือสูงล้วนมีผลต่อวิธีการอบรมเลี้ยงดู และสุขภาพจิตของเด็กได้ทั้งทางบวกและทางลบเช่นเดียวกัน
สรุป
1. นักเรียนมัธยมในเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิมีปัญหาสุขภาพจิตโดยรวมร้อยละ
15.60 ปัญหาสุขภาพจิตด้านต่าง ๆ ค่อนข้างใกล้เคียงกันคืออยู่ระหว่างร้อยละ
14.07 ถึงร้อยละ 17.90 โดยพบว่ามีความผิดปกติในด้านย้ำคิดย้ำทำมากที่สุด
2. อาชีพของผู้ปกครองอาจจะมีผลต่อปัญหาสุขภาพจิตของนักเรียนได้
นักเรียนมัธยมในเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิที่ผู้ปกครองมีอาชีพรับราชการหรือทำงานรัฐวิสาหกิจ
มีความเป็นอริและหวาดระแวงสูงกว่านักเรียนที่ผู้ปกครองมีอาชีพค้าขายและรับจ้าง
แต่เนื่องจากยังไม่มีการศึกษาที่ได้ผลเช่นนี้มาก่อน จึงควรจะมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยัน
และศึกษาหาสาเหตุต่อไป
3. นักเรียนมัธยมในเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิที่มีเพศ
กลุ่มอายุ สภาพครอบครัว หรือรายได้ของครอบครัวต่างกันมีปัญหาสุขภาพจิตไม่แตกต่างกัน
ข้อเสนอแนะ
ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมในด้านต่างๆ
ต่อไปนี้
1. การใช้เกณฑ์การตัดสินความผิดปกติในการใช้แบบทดสอบ
SCL-90 ทั้งสองแนวทางคือการใช้ค่ามาตรฐานและการใช้ค่า t-score
2. การใช้เกณฑ์การตัดสินความผิดปกติในแต่ละเพศ
เนื่องจากเพศชายและหญิงอาจมีเกณฑ์การตัดสินความผิดปกติต่างกันได้
3. ความสัมพันธ์ระหว่างอาชีพของผู้ปกครองกับภาวะสุขภาพจิตของนักเรียน
โดยเฉพาะอาชีพรับราชการหรือทำงานรัฐวิสาหกิจ กับภาวะสุขภาพจิตของนักเรียนด้านความเป็นอริและหวาดระแวง
กิตติกรรมประกาศ
การวิจัยนี้ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากทุนวิจัยศาสตราจารย์หลวงวิเชียรแพทยาคม
สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ประจำปี พ.ศ.2540 ผู้รายงานขอขอบพระคุณ
คณะกรรมการทุนวิจัยฯ ที่อนุมัติทุนอุดหนุนการวิจัยในครั้งนี้ ขอขอบพระคุณท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลชัยภูมิ
ผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง คุณพัชนี จินชัย ที่กรุณาให้คำปรึกษาทางสถิติ
และเจ้าหน้าที่กลุ่มงานจิตเวชทุกท่าน ที่มีส่วนช่วยเหลือในการทำการศึกษาครั้งนี้เป็นอย่างดียิ่ง
เอกสารอ้างอิง
- Schowalter JE. Normal adolescent
development. In: Harold IK, Benjamin JS, eds. Comprehensive textbook
of psychiatry. 6th ed. Vol. 2. Baltimore:Williams &
Wilkins, 1995:2161-7.
-
ศรีธรรมธนะภูมิ.
พัฒนาการทางอารมณ์และบุคลิกภาพ. กรุงเทพมหานคร: ชวนชมการพิมพ์,
2535:74-83.
-
Weiner
IB. Distinguishing healthy from disturbed adolescent development.
J Dev Behav Pediatr 1990; 2:151-4.
-
Kashani
JH, Beck NC, Hoeper EW, et al. Psychiatric Disorders in a community
sample of adolescents. Am J Psychiatry 1987; 144:584-9.
-
Kessler
RC. Sociology and psychiatry. In: Harold IK, Benjamin JS, eds.
Comprehensive textbook of psychiatry. 6th ed. Vol.
2. Baltimore:Williams & Wilkins, 1995:356-64.
-
ดวงเดือน
พันธุมนาวิน, เพ็ญแข ประจนปัจจนึก. ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวกับสุขภาพจิตและจริยธรรมของนักเรียนวัยรุ่น.
กรุงเทพมหานคร:มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร, 2524.
-
เปรมสุรีย์
เชื่อมทอง. การเปรียบเทียบปัญหาสุขภาพจิตของเด็กวัยรุ่นในสถานสงเคราะห์กับเด็กวัยรุ่นในโรงเรียน
(ปริญญานิพนธ์). กรุงเทพมหานคร:มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร,
2526.
-
Kaplan
HI, Sadock BJ. Synopsis of psychiatry: behavioral sciences,
clinical psychiatry. 6th ed. Baltimore:Williams &
Wilkins, 1991:321-4.
-
ชิรวัฒน์
นิจเนตร. สภาพเชิงจิต-สังคมในโรงเรียนกับสุขภาพจิตของนักเรียนวัยรุ่นในเขตกรุงเทพมหานคร
(ปริญญานิพนธ์). กรุงเทพมหานคร:มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร,
2526.
-
นัยนา มีศิริ.
สุขภาพจิตและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตของนักเรียนชั้นประถมปีที่
6 ในจังหวัดสมุทรสงคราม (ปริญญานิพนธ์). กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร,
2529.
-
พวงรัตน์
ทวีรัตน์. วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. กรุงเทพมหานคร:สำนักทดสอบทางการศึกษาและจิตวิทยา
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร, 2540:82-93.
-
ละเอียด
ชูประยูร. การศึกษาแบบทดสอบ SCL - 90 ในคนไข้โรคประสาท. วารสารจิตวิทยาคลินิก
2521; 9:916.
-
กนกรัตน์
สุขะตุงคะ. วิเคราะห์สุขภาพจิตของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
3 ในเขตแทรกซึมของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ จังหวัดปราจีนบุรี
(ปริญญานิพนธ์). กรุงเทพมหานคร:มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร,
2523.
-
จันทนา
สุวรรณอาสน์. สุขภาพจิตของครูโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร.
(ปริญญานิพนธ์). กรุงเทพมหานคร:มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร,
2532.
-
Verhulst
FC, van der Ende J, Ferdinand RF, Kasius MC. The prevalence
of DSM-III-R diagnoses in a national sample of Dutch adolescents.
Arch Gen Psychiatry 1997; 54:329-36.
-
Casper
RC, Belanoff J, Offer D. Gender differences, but no racial group
differences, in self-reported psychiatric symptoms in adolescents.
J Am Acad Child Adolesc Psychiatry 1996; 35:500-8.
-
ธนู ชาติธนานนท์.
การสำรวจปัญหาสุขภาพจิตของนักเรียนวัยรุ่นในจังหวัดชัยนาท. วารสารจิตวิทยาคลินิก
2521; 9:60-6.
-
อัมพร โอตระกูล.
สุขภาพจิตผู้รับบริการศูนย์สุขวิทยาจิต. วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
2521; 2:144-55.
-
ประดินันท์
อุปรมัย. ครอบครัวและชุมชน กับนักเรียนวัยรุ่น ใน เอกสารการสอนชุดวิชาพฤติกรรมวัยรุ่น.
นนทบุรี:โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2532:125-75.
ตารางที่ 1 ลักษณะของกลุ่มตัวอย่าง