Key words
: attitude, psychiatric nursing
บทนำ
เจตคติเป็นความคิดเห็นซึ่งมีอารมณ์เป็นส่วนประกอบและพร้อมที่จะมีปฏิกิริยาต่อสถานการณ์ภายนอก1,2
ซึ่งปฏิกิริยาหรือพฤติกรรมที่แสดงออก อาจจะเป็นในทางบวกหรือลบได้ เช่น
อาจยอมรับหรือปฏิเสธการเข้าหา ชอบหรือไม่ชอบ ไม่พอใจ3 ซึ่งในการพยาบาลจิตเวชนั้น
เจตคติเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากผู้ป่วยจิตเวชเป็นบุคคลที่มีความผิดปกติ
ในด้านความคิด อารมณ์และพฤติกรรม ทำให้การพูดหรือการกระทำที่แสดงออกไม่เหมาะสม
เช่น พูดจาก้าวร้าว รุนแรง เอะอะคลุ้มคลั่ง ที่อาจจะคุกคามต่อความรู้สึกไม่มั่นคงในความเป็นบุคคลของพยาบาล
จนเป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกต่าง ๆ ได้ เช่น โกรธ กลัว เกลียด เบื่อหน่าย
ไม่ยอมรับ ส่งผลให้พยาบาลเลือกปฏิบัติต่อผู้ป่วยจิตเวชในทางไม่เหมาะสมได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลชุมชน ถึงแม้จะเป็นโรงพยาบาลที่เน้นให้บริการโรคทางกายเป็นหลัก
แต่ก็มีโอกาสได้ให้การดูแลผู้ป่วยจิตเวช เพราะมีรายงานการศึกษาว่ามีผู้ป่วยจิตเวช
มาใช้บริการในโรงพยาบาลชุมชนถึงร้อยละ 454 ดังนั้น เจตคติต่อการพยาบาลจิตเวช
จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะเสริมสร้าง และเป็นแรงจูงใจให้พยาบาลได้ทำหน้าที่ในการพยาบาล
ด้วยความรัก ความเข้าใจ และเห็นใจ การได้ทราบถึงเจตคติของพยาบาลต่อการพยาบาลจิตเวช
ตลอดจนปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงาน จึงถือเป็นประโยชน์ต่อการนำไปสู่การพัฒนาการพยาบาลจิตเวชในโรงพยาบาลชุมชนให้เหมาะสมต่อไปได้
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์
1) เพื่อศึกษาระดับเจตคติต่อการพยาบาลจิตเวชของพยาบาลวิชาชีพ ในโรงพยาบาลชุมชน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2) เพื่อศึกษา อุปสรรค ในการพยาบาลจิตเวช และ
3) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบเจตคติ ต่อการพยาบาลจิตเวชตามลักษณะข้อมูลทั่วไป
ได้แก่ เพศ สถาบันที่จบการศึกษา การได้รับอบรมความรู้ด้านสุขภาพจิตและจิตเวช
ขนาดโรงพยาบาล ที่ปฏิบัติงาน ระยะเวลาที่รับราชการ ประสบการณ์ในการทำงานด้านสุขภาพจิต
จำนวนผู้ป่วยจิตเวชและผู้ป่วยโรคทั่วไป ที่ให้บริการเฉลี่ยต่อวัน
วิธีการศึกษา
เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา
ประชากรคือพยาบาลวิชาชีพทั้งหมดที่ปฏิบัติงานด้านสุขภาพจิตในโรงพยาบาลชุมชน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 19 จังหวัด จำนวน 456 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
เป็นแบบสอบถามข้อมูลทั่วไป ปัญหา อุปสรรค ในการพยาบาลจิตเวช ซึ่งเป็นคำถามปลายปิดให้เลือกตอบ
และคำถามปลายเปิดรวม 14 ข้อ และแบบวัดเจตคติต่อการพยาบาลจิตเวช ซึ่งประกอบด้วย
3 ด้าน คือด้านผู้ป่วยจิตเวช ด้านการปฏิบัติกับผู้ป่วยจิตเวช และด้านวิชาการพยาบาลจิตเวช
ข้อคำถามเป็นแบบมาตราส่วนประเมินค่า 4 ระดับ จำนวนทั้งหมด 34 ข้อ แบบสอบถามในการวิจัยผ่านการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือจากผู้เชี่ยวชาญ
และหาค่าความเที่ยงของแบบวัดเจตคติ โดยวิธีหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค
ได้ค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.72
เก็บรวบรวมข้อมูลโดยส่งแบบสอบถามทางไปรษณีย์
รวมระยะเวลาในการเก็บรวบรวม ข้อมูล 1 เดือน 11 วัน โดยได้รับแบบสอบถามกลับทั้งสิ้น
440 ชุด นำมาตรวจสอบความสมบูรณ์ ถูกต้อง ได้แบบสอบถามที่สมบูรณ์ 413
ชุด คิดเป็นร้อยละ 90.66 ของแบบสอบถามที่ส่งไปทั้งหมด
ผลการศึกษา
1. ข้อมูลทั่วไป
ผลการศึกษาพบว่าพยาบาลวิชาชีพส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง
มีอายุระหว่าง 3140 ปีจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากสถาบันในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
มีระยะเวลาในการรับราชการนาน 1120 ปี และปฏิบัติงานในโรงพยาบาลขนาด
30 เตียงมากที่สุด ส่วนประสบการณ์ในการทำงานด้านสุขภาพจิต พยาบาลวิชาชีพมากกว่าครึ่งหนึ่งมีประสบการณ์อยู่ระหว่าง
1 5 ปี และเคยผ่านการอบรมความรู้สุขภาพจิตมาแล้ว ซึ่งส่วนมากจะให้บริการผู้ป่วยจิตเวชเฉลี่ย
15 คนต่อวัน ส่วนผู้ป่วยโรคทั่วไปจะให้บริการเฉลี่ย 1 50 คนต่อวันมากที่สุด
ดังรายละเอียดในตารางที่ 1
2. เจตคติต่อการพยาบาลจิตเวช
ผลการศึกษา
พบว่าค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติต่อการพยาบาลจิตเวช โดยรวมของพยาบาลวิชาชีพมีค่าเท่ากับ
3.13 เมื่อพิจารณาเจตคติต่อการพยาบาลจิตเวชรายด้านพบว่าค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติต่อการพยาบาลจิตเวชด้านผู้ป่วยจิตเวชมีค่าเท่ากับ
2.97 ด้านการปฏิบัติต่อผู้ป่วยจิตเวชมีค่าเท่ากับ 3.19 และด้านวิชาการพยาบาลจิตเวชมีค่าเท่ากับ
3.24 ดังรายละเอียดในตารางที่ 2
3. การเปรียบเทียบความแตกต่างค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติต่อการพยาบาลจิตเวชของพยาบาลวิชาชีพ
จำแนกตามลักษณะข้อมูลทั่วไป
เมื่อทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติ
ต่อการพยาบาลจิตเวชของพยาบาลวิชาชีพ ตามลักษณะข้อมูลทั่วไปได้ข้อค้นพบ
ดังนี้
3.1 เจตคติต่อการพยาบาลจิตเวชโดยรวม
พบว่าพยาบาลวิชาชีพที่มีลักษณะข้อมูลทั่วไปที่ต่างกันในทุกปัจจัยที่ศึกษา
มีค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
3.2 เจตคติต่อการพยาบาลจิตเวชรายด้าน
พบว่าด้านผู้ป่วยจิตเวช พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลขนาดใหญ่
จะมีค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติสูงกว่าพยาบาลที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลขนาดเล็ก
และพยาบาลวิชาชีพที่ให้บริการแก่ผู้ป่วยโรคทั่วไปจำนวนเฉลี่ยต่อวันมากจะมีค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติสูงกว่าพยาบาลวิชาชีพที่ให้บริการ
ในจำนวนเฉลี่ยต่อวันน้อย
ด้านการปฏิบัติกับผู้ป่วยจิตเวช
พยาบาลวิชาชีพเพศหญิงมีค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติสูงกว่าพยาบาลวิชาชีพเพศชายและปัจจัยด้านสถาบันที่จบการศึกษา
พยาบาลวิชาชีพที่จบการศึกษาจากสถาบันที่สังกัดทบวงมหาวิทยาลัย มีค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติ
สูงกว่าพยาบาลวิชาชีพที่จบการศึกษา จากสถาบันสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
ด้านวิชาการพยาบาลจิตเวช
พยาบาลวิชาชีพที่มีลักษณะข้อมูลทั่วไปที่ต่างกันในทุกปัจจัยที่ศึกษามีค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ดังรายละเอียดในตารางที่ 3 และ 4
4. ปัญหา อุปสรรค และความต้องการการสนับสนุน
ในการพยาบาลจิตเวช
ผลการศึกษาพบว่าพยาบาลวิชาชีพส่วนใหญ่
มีปัญหาในการดูแลผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ
67.3 รองลงมาคือ ผู้ป่วยซึมเศร้า ฆ่าตัวตาย ร้อยละ 53.5 และผู้ป่วยที่มาขอรับคำปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต
ร้อยละ 46.7 มีเพียงร้อยละ 7.5 ที่ตอบว่าไม่มีปัญหาในการดูแล
ส่วนปัญหา อุปสรรค
ที่พบในการปฏิบัติงานนั้น พยาบาลวิชาชีพส่วนใหญ่ มีความเห็นสอดคล้องกันว่ามีปัญหาในเรื่องจำนวนบุคลากรน้อย
ขาดความรู้ความมั่นใจในการทำงาน สถานที่ไม่เอื้ออำนวย ต่อการดูแลผู้ป่วยจิตเวช
และญาติไม่สนใจผู้ป่วย จากปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ ดังกล่าว พบว่า พยาบาลวิชาชีพส่วนใหญ่มีความต้องการการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับ
เอกสารวิชาการด้านสุขภาพจิต เวชภัณฑ์ งบประมาณ การนิเทศงาน การอบรมฟื้นฟูความรู้
คู่มือการดูแลผู้ป่วยจิตเวช คู่มือการปฏิบัติงานด้านสุขภาพจิต
อภิปรายผล
จากการศึกษาพบว่าพยาบาลวิชาชีพมีเจตคติต่อการพยาบาลจิตเวชในระดับสูง
ที่ผลเป็นเช่นนี้ อาจเนื่องจากข้อค้นพบในการศึกษาครั้งนี้ที่พบว่า
พยาบาลวิชาชีพร้อยละ 86.4 ไม่รู้สึกหวาดกลัวที่ต้องให้การดูแลผู้ป่วยจิตเวช
นอกจากนี้ความรู้จากการเรียนวิชาพยาบาลจิตเวชในหลักสูตรการศึกษาพยาบาลระดับปริญญาตรีหรือต่ำกว่าปริญญาตรี
ที่สถาบันการศึกษาต่างมีจุดมุ่งหมายให้นักศึกษาพยาบาลมีความรู้ ความสามารถ
เพียงพอที่จะสามารถปฏิบัติการพยาบาลจิตเวช ตลอดจนการเสริมสร้าง ให้มีเจตคติต่อการพยาบาลจิตเวช
โดยมีแนวคิด ทฤษฎี ทางการพยาบาลจิตเวชเป็นพื้นฐาน ในการนำไปสู่การปฏิบัติกับผู้ป่วย5,6
ซึ่งจากความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับ จึงทำให้ พยาบาลวิชาชีพเกิดความรู้
ความเข้าใจในผู้ป่วยและวิธีการดูแล จึงทำให้เจตคติต่อการพยาบาลจิตเวชอยู่ในระดับสูง
เมื่อเปรียบเทียบเจตคติต่อการพยาบาลจิตเวชกับลักษณะข้อมูลทั่วไป
ได้ข้อค้นพบว่า
1. ปัจจัยด้านเพศ พยาบาลวิชาชีพที่เพศต่างกัน
มีค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติต่อการพยาบาลจิตเวชโดยรวม ด้านผู้ป่วยจิตเวช
และด้านวิชาการพยาบาลจิตเวชไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทั้งนี้
อาจเนื่องจากการที่พยาบาลวิชาชีพทุกคนได้รับการเสริมสร้างเจตคติที่ดีต่อการพยาบาลจิตเวชจากการเรียนในหลักสูตรการศึกษาพยาบาล
ดังมีรายงานการศึกษาในนักศึกษาพยาบาลที่พบว่า ภายหลังจากได้ฝึกปฏิบัติงานการพยาบาลจิตเวชแล้ว
นักศึกษาพยาบาลส่วนมากมีความต้องการจะปฏิบัติงานด้านการพยาบาลจิตเวช
ร้อยละ 62.0 เพราะทำให้เข้าใจความต้องการของบุคคลมากขึ้น สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและการปฏิบัติงานได้7
และพยาบาลส่วนใหญ่เห็นว่าพยาบาลในอุดมคติ ที่จะให้การพยาบาลที่ดี ควรจะผสมผสานทั้งความเป็นหญิงและชาย
คือความรู้สึกอบอุ่น เป็นมิตร อ่อนน้อมในลักษณะความเป็นหญิง และคุณลักษณะความเข้มแข็ง
เป็นตัวของตัวเอง ท้าทาย มีความมั่นใจสูง มีความสามารถในการตัดสินใจ
ในความเป็นชาย8 ส่วนค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติต่อการพยาบาลจิตเวชด้านการปฏิบัติกับผู้ป่วยจิตเวช
พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเพศหญิงมีค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติสูงกว่าเพศชาย
ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเพศหญิงสามารถใช้ความเป็นหญิงในการแสดงออกของบทบาทเพศแม่
ในการให้การพยาบาลที่ดีได้โดยง่าย ทำให้สามารถปฏิบัติกับผู้ป่วยได้อย่างนุ่มนวล
สอดคล้องกับบุคลิกภาพของความเป็นหญิง8
2. ปัจจัยด้านการได้รับการอบรมความรู้ด้านสุขภาพจิตและจิตเวช
พบว่าพยาบาลวิชาชีพที่เคยและไม่เคยรับการอบรม มีค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติต่อการพยาบาลจิตเวชโดยรวม
และรายด้านแต่ละด้านไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาที่ผ่านมา9,10
ทั้งนี้ส่วนหนึ่งอาจเนื่องจากว่า พยาบาลเคยผ่านการเรียนวิชาการพยาบาลจิตเวชในหลักสูตรการศึกษาพยาบาลและถึงแม้ในส่วนที่ยังไม่เคยผ่านการอบรมก็อาจจะแสวงหาความรู้เพิ่มเติมได้ด้วยตัวเอง
จากอ่านเอกสาร ตำราหรือการปรึกษาผู้รู้
3. ปัจจัยด้านสถาบันที่จบการศึกษา
พบว่าพยาบาลวิชาชีพที่จบจากสถาบันการศึกษาต่างกัน มีค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติต่อการพยาบาลจิตเวชโดยรวม
ด้านผู้ป่วยจิตเวช และด้านวิชาการพยาบาลจิตเวชไม่แตกต่างกัน เป็นไปได้ว่า
สถาบันการศึกษาพยาบาลทุกสถาบันต่างปลูกฝังและเสริมสร้างให้นักศึกษามีความรู้
ความเข้าใจในผู้ป่วยจิตเวชและพยาบาลวิชาชีพเองต่างก็ตระหนักในประโยชน์ที่ได้รับจากวิชาการพยาบาลจิตเวชที่สามารถใช้ได้กับชีวิตประจำวัน5,6
ส่วนค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติต่อการพยาบาลจิตเวชด้านการปฏิบัติกับผู้ป่วยจิตเวช
พบว่าพยาบาลวิชาชีพที่จบการศึกษาสังกัดทบวงมหาวิทยาลัยจะมีค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติสูงกว่าพยาบาลวิชาชีพที่จบการศึกษาสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
ทั้งนี้อาจเนื่องจาก ความแตกต่างของประสบการณ์การเรียนรู้ของพยาบาลวิชาชีพที่ได้รับในช่วงการเรียนในหลักสูตรการศึกษาพยาบาลในแต่ละสถาบัน
ซึ่งอาจแตกต่างกันในปัจจัยด้านต่างๆ เช่น การจัดหลักสูตรการเรียนการสอน
อาจารย์ผู้สอน อาจารย์นิเทศ สถานที่ฝึกปฏิบัติงาน ซึ่งการจัดประสบการณ์การเรียน
การสอนจะปรากฏในลักษณะของปฏิสัมพันธ์ระหว่างครู นักเรียน การมอบหมายงาน
วิธีการสอน ท่าที การแสดงออกของครู ตลอดจนพยาบาลประจำการในสถานที่ที่นักศึกษาขึ้นฝึกปฏิบัติงาน11,12
สิ่งต่างๆ เหล่านี้อาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้พยาบาลวิชาชีพที่จบการศึกษาจากทบวงมหาวิทยาลัยมีค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติสูงกว่าพยาบาลวิชาชีพที่จบการศึกษาจากกระทรวงสาธรณสุข
4. ปัจจัยด้านขนาดโรงพยาบาลที่ปฏิบัติงาน
พบว่าพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลที่มีขนาดต่างกัน มีค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติต่อการพยาบาลจิตเวชโดยรวมด้านการปฏิบัติกับผู้ป่วยจิตเวช
และด้านวิชาการพยาบาลจิตเวชไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งเป็นไปได้ว่า
พยาบาลวิชาชีพมีบริบททางสังคม วัฒนธรรมด้านสถานที่ปฏิบัติงานไม่ต่างกัน
คือ เป็นโรงพยาบาลชุมชนที่ให้บริการทางกายเป็นหลักส่วนการให้บริการทางจิตเวชจัดให้ตามขีดความสามารถและความพร้อมของโรงพยาบาลทั้งด้านบุคลากร
งบประมาณ สถานที่ ความรู้ ตลอดจนนโยบายด้านสุขภาพจิต ซึ่งปัจจัยต่างๆ
เหล่านี้เป็นประสบการณ์ที่พยาบาลวิชาชีพรับรู้ได้ไม่แตกต่างกัน แม้จะปฏิบัติงานในโรงพยาบาลขนาดต่างกันก็ตาม
ส่วนค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติด้านผู้ป่วยจิตเวช พบว่า พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลขนาดต่างกัน
มีค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลที่มีขนาดใหญ่จะมีค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติสูงกว่าพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลขนาดเล็ก
ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะว่า โรงพยาบาลขนาดใหญ่อาจมีความพร้อมที่จะให้บริการมากกว่า
ทั้งในด้านจำนวนบุคลากร งบประมาณ สิ่งสนับสนุนอื่นๆ จึงทำให้มีความรู้สึกว่าผู้ป่วยจิตเวชก็เหมือนผู้ป่วยโรคทั่วไปอื่นๆที่ต้องให้บริการ
5. ปัจจัยด้านระยะเวลาในการรับราชการและประสบการณ์ในการทำงานด้านสุขภาพจิต
พบว่า พยาบาลวิชาชีพที่มีระยะเวลาในการรับราชการและประสบการณ์ในการทำงานที่ต่างกันมีค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติต่อการพยาบาลจิตเวชโดยรวม
และรายด้านแต่ละด้านไม่แตกต่างกัน อาจเนื่องจากว่า โรงพยาบาลชุมชนเป็นหน่วยงานที่ให้บริการโรคทางกายเป็นหลักจึงทำให้มีผู้รับบริการด้านจิตเวชจำนวนไม่มากนัก
ดังนั้นพยาบาลวิชาชีพถึงแม้จะมีระยะเวลาในการรับราชการ หรือประสบการณ์ในการทำงานด้านสุขภาพจิตมากน้อยต่างกันแต่อาจจะมีโอกาสได้ให้บริการหรือดูแลผู้ป่วยจิตเวชมากน้อยพอ
ๆ กัน
6. ปัจจัยด้านจำนวนผู้ป่วยจิตเวชที่ให้บริการเฉลี่ยต่อวัน
พบว่าพยาบาลวิชาชีพที่ให้บริการแก่ผู้ป่วยจิตเวชในจำนวนเฉลี่ยต่อวันต่างกัน
มีค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติต่อการพยาบาลจิตเวชโดยรวมและรายด้านแต่ละด้านไม่แตกต่างกัน
เป็นไปได้ว่าผลการศึกษาครั้งนี้พยาบาลวิชาชีพมีเจตคติต่อการพยาบาลจิตเวชในระดับสูง
และส่วนใหญ่มีความคิดเห็นว่าการดูแลผู้ป่วยจิตเวชไม่ทำให้เสียเวลาในการดูแลผู้ป่วยอื่น
ๆ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ดีต่อผู้ป่วยจิตเวช
7. ปัจจัยด้านจำนวนผู้ป่วยโรคทั่วไปที่ให้บริการเฉลี่ยต่อวัน
พบว่าพยาบาลวิชาชีพที่ให้บริการแก่ผู้ป่วยโรคทั่วไปในจำนวนเฉลี่ยต่อวันต่างกัน
มีค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติต่อการพยาบาลจิตเวชโดยรวม ด้านการปฏิบัติกับผู้ป่วยจิตเวช
และด้านวิชาการพยาบาลจิตเวชไม่แตกต่างกัน ทั้งนี้อาจเนื่องจากว่า พยาบาลวิชาชีพมองเห็นประโยชน์ของวิชาการพยาบาลจิตเวช
ดังผลการศึกษาครั้งนี้ที่พยาบาลวิชาชีพบอกว่าการเรียนวิชาการพยาบาลจิตเวชทำให้เข้าใจสภาพจิตใจของผู้ป่วยโรคทางกายมากขึ้น
ดังนั้นการให้บริการผู้ป่วยโรคทั่วไปมากมากน้อยต่างกันก็อาจได้ใช้ประโยชน์จากความรู้ด้านการพยาบาลจิตเวชเช่นกัน
ส่วนเจตคติต่อการพยาบาลจิตเวชด้านผู้ป่วยจิตเวช พบว่า พยาบาลวิชาชีพที่ให้บริการแก่ผู้ป่วยโรคทั่วไปในจำนวนที่ต่างกัน
มีค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยพยาบาลวิชาชีพที่ให้บริการแก่ผู้ป่วยโรคทั่วไปในจำนวนเฉลี่ยต่อวันมากจะมีค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติสูงกว่าพยาบาลที่ให้บริการจำนวนน้อย
อาจเป็นไปได้ว่าการที่ให้บริการแก่ผู้ป่วยโรคทั่วไปจำนวนมากในแต่ละวันทำให้พบกับสภาพผู้ป่วยในลักษณะต่าง
ๆ ที่ต้องให้การดูแลแตกต่างกันไปตามความต้องการ ดังนั้นจึงได้ใช้ประโยชน์จากความรู้ด้านการพยาบาลจิตเวชมากยิ่งขึ้นไปด้วย
8. ปัญหา อุปสรรคในการพยาบาล
จากการศึกษาพบว่าพยาบาลวิชาชีพส่วนใหญ่ มีปัญหาในการดูแลผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว
รุนแรง และในการปฏิบัติการพยาบาลจิตเวชมักพบกับปัญหาการขาดความรู้
ความมั่นใจในการทำงาน บุคลากรน้อย สถานที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการดูแลผู้ป่วย
ซึ่งเป็นไปได้ว่า พยาบาลวิชาชีพอาจขาดแหล่งสนับสนุนในการทำงานทั้งในด้านบุคคลผู้มีความรู้ความชำนาญในเรื่องสุขภาพจิตโดยตรง
หรือแหล่งของสื่อ/เอกสารความรู้ทางวิชาการ คู่มือการปฏิบัติงานด้านสุขภาพจิต
ถึงแม้จะพบว่า ได้มีการค้นคว้าด้วยตนเองและปรึกษาผู้รู้ก็ตาม แต่ก็อาจจะไม่เพียงพอเพราะผลการศึกษาครั้งนี้พบว่า
พยาบาลวิชาชีพยังต้องการการสนับสนุนด้านความรู้ เอกสารวิชาการ การอบรมฟื้นฟูความรู้
การได้รับการนิเทศอย่างสม่ำเสมอ
9. ข้อสังเกตที่พบจากการศึกษาครั้งนี้คือ
พยาบาลวิชาชีพ ร้อยละ 55.0 ให้บริการแก่ผู้ป่วยจิตเวชจำนวนเพียง 1-5
คนต่อวัน และมีบางส่วน คือ ร้อยละ 28.3 ไม่มีผู้ป่วยที่จะให้บริการ
ทั้งที่มีรายงานการศึกษาว่า มีผู้ป่วยจิตเวชมาใช้บริการในโรงพยาบาลชุมชนถึงร้อยละ
454 ที่เป็นเช่นนี้อาจเนื่องจากว่างานสุขภาพจิตในโรงพยาบาลชุมชนยังไม่เป็นงานที่เด่นชัด
รูปแบบงานไม่ชัดเจน ไม่มีโครงสร้างและกรอบอัตรากำลัง ผู้บริหารและบุคลากรในโรงพยาบาลไม่เห็นความสำคัญ
ทำให้งานสุขภาพจิตกลายเป็นงานรอง ได้รับความสนใจน้อย เป็นงานฝากและแทรกอยู่ในหลายฝ่ายขึ้นกับนโยบายของแต่ละโรงพยาบาลว่าจะมอบหมายให้ฝ่ายใดรับผิดชอบ
ซึ่งพบว่า กระจายอยู่ตามฝ่ายต่าง ๆ เช่น ฝ่ายการพยาบาล ฝ่ายส่งเสริมสุขภาพและรักษาพยาบาล
ฝ่ายสุขาภิบาลและสิ่งแวดล้อม ฝ่ายสุขศึกษาและประชาสัมพันธ์ ผู้รับผิดชอบงานสุขภาพจิตยังต้องรับผิดชอบงานอื่นๆอีกหลายอย่างที่สำคัญ
คือ บุคลากรมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนบ่อย13-17 ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าพยาบาลวิชาชีพที่รับผิดชอบงานสุขภาพจิตอาจอยู่ในฝ่ายที่ไม่ได้ให้บริการและดูแลผู้ป่วยโดยตรงอีกทั้งอาจจะเป็นพยาบาลวิชาชีพที่เพิ่งหมุนเวียนสับเปลี่ยนมารับงานในช่วงการเก็บรวบรวมข้อมูล
จึงทำให้ทำงานในส่วนบริการและดูแลผู้ป่วยจิตเวชน้อยหรือไม่ได้ให้บริการเลย
ข้อเสนอแนะ
1. ผลการศึกษา พบว่า พยาบาลวิชาชีพมีเจตคติต่อการพยาบาลจิตเวชในระดับสูง
ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่จะมีผลต่อพฤติกรรมของบุคคลในการดูแลผู้ป่วยด้วยความรัก
ความเข้าใจและเอาใจใส่ ซึ่งนั่นก็หมายถึงคุณภาพการพยาบาลจิตเวชที่ดีด้วย
จากเจตคติที่ดีจึงเชื่อว่าบุคคลย่อมมีความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาความรู้และประสบการณ์เพิ่มเติม
ดังนั้นจึงเป็นโอกาสอันดีที่ผู้บริหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องน่าจะให้การสนับสนุนให้พยาบาลวิชาชีพได้มีโอกาสศึกษาหาความรู้และฝึกทักษะอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
เช่น จัดฝึกอบรม การฟื้นฟูความรู้ การศึกษาดูงาน การจัดทำคู่มือการปฏิบัติงาน/คู่มือการพยาบาลจิตเวชสำหรับพยาบาลโรงพยาบาลชุมชน
ตลอดจนโอกาสความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน การมีกรอบอัตรากำลังที่ชัดเจนและเพียงพอเพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้ยังพบว่าเป็นปัญหาอุปสรรคที่เป็นข้อค้นพบในการศึกษานี้ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่มีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเจตคติของพยาบาลวิชาชีพได้
2. ผลการศึกษา พบว่า พยาบาลวิชาชีพมีปัญหาอุปสรรคในการดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว
รุนแรง ซึมเศร้า ฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวชที่พบมาก
ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรได้มีการพัฒนาขีดความสามารถของพยาบาลวิชาชีพในส่วนที่เป็นปัญหานี้เพื่อช่วยให้เกิดความมั่นใจในการทำงาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องทักษะ ซึ่งอาจจะเป็นการจัดเนื้อหาหลักสูตรที่เน้นให้มีการศึกษาดูงานและฝึกปฏิบัติมากขึ้น
3. จากผลการศึกษาที่พบว่า พยาบาลวิชาชีพที่รับผิดชอบงานสุขภาพจิตส่วนมากให้บริการผู้ป่วยเพียงจำนวนน้อยและบางส่วนไม่ได้ให้บริการเลย
อาจเนื่องจากงานสุขภาพจิตไม่ได้เป็นฝ่ายแยกเด่นชัด ดังนั้น ผู้บริหารระดับสูงควรกำหนดนโยบายที่ชัดเจนว่า
ให้มีฝ่ายสุขภาพจิตในโรงพยาบาลชุมชนหรือกำหนดให้งานอยู่ในฝ่าย/กลุ่มงานใดที่เป็นรูปแบบเดียวกันทุกโรงพยาบาล
เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานได้ทำบทบาทได้อย่างเต็มที่
4. การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาในกลุ่มพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานด้านสุขภาพจิตในโรงพยาบาลชุมชนเท่านั้น
ดังนั้นควรมีการศึกษาในกลุ่มบุคลากรทางการพยาบาลอื่น ๆ ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลทั้งในระดับโรงพยาบาลศูนย์
โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชน
5. การวิจัยครั้งนี้เป็นเพียงข้อมูลพื้นฐานด้านความคิดเห็น
ความรู้สึกต่อการพยาบาลจิตเวชเท่านั้น ดังนั้นควรมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับรูปแบบและแนวทางการพัฒนาการพยาบาลจิตเวชในโรงพยาบาลชุมชนต่อไป
เอกสารอ้างอิง
- Allport GW. Attitude. In:
Allport GW, ed. Reading in attitude theory and measurment. New
York :John Wiley and Sons Inc.,1967:2.
- ประภาเพ็ญ สุวรรณ. การวัดสถานะทางสุขภาพ
:การสร้างมาตราส่วนประมาณค่าและแบบสอบถาม. กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์ภาพพิมพ์,
2537:224-7.
- Triandis HC. Attitudes and
attitude change. New York:John Wiley and Sons Inc.,1971:2-3.
- ชัชวาล ศิลปกิจ, รัตนา สายพานิชย์.
Psychiatric disorder in primary care setting: an implication for
undergraduate psychiatric education. รายงานการวิจัยเสนอในการประชุมวิชาการประจำปีของคณะแพทยศาสตร์
โรงพยาบาลรามาธิบดี 2540.
- อุบล นิวัติชัย. หลักการพยาบาลจิตเวช.
เชียงใหม่:ภาควิชาการพยาบาลจิตเวช คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,
2527:1-16.
- สอิ้ง อภิปาลกุล. ปรัชญาและแนวปฏิบัติในการพยาบาลจิตเวช
. ใน : คณาจารย์ภาควิชาการพยาบาลจิตเวชศาสตร์.การพยาบาลจิตเวช :แนวคิดและทฤษฎีพื้นฐาน.
พิมพ์ครั้งที่ 5. ขอนแก่น: สำนักงานคณบดี คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น,
2535 :9-16.
- สมสนุก พระอามาตย์, ชุลีวรรณ
เพียรทอง, จำลองลักษณ์ จามรพิน พิมพ์เสน,มัลลิฑา พูนสวัสดิ์. รายงานการวิจัยเรื่องเจตคติของพยาบาลต่อปัจจัยส่งเสริมคุณภาพการพยาบาลจิตเวชในโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่น.
ขอนแก่น:โรง พยาบาลจิตเวชขอนแก่น กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข,
2539.
- สุบิน สมีน้อย, สุพิน พิมพ์เสน,
มัลลิฑา พูนสวัสดิ์. รายงานการวิจัยเรื่องเจตคติของพยาบาลต่อปัจจัยส่งเสริมคุณภาพการพยาบาลจิตเวชในโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่น.
ขอนแก่น: โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่น กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข,
2539.
- รุ่งศรี ศรีสุวรรณ์. การศึกษาเจตคติต่อผู้ป่วยจิตเวชและต่อการดูแลผู้ป่วยจิตเวชของนักศึกษาพยาบาล.(วิทยานิพนธ์)
พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต. กรุงเทพฯ:จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2539.
- จันทร์ทิพย์ นามไชย, เสงี่ยม
สารบัณฑิตกุล, อรวรรณ ลี่ทองอิน, ศิริพร ทองบ่อ, ประหยัด ประภาพรหม,
ลัดดา ตัณกัณฑะ. รายงานการวิจัยเรื่องการศึกษาความรู้ ทัศนคติ การปฏิบัติกิจกรรมการพยาบาลที่จำเป็นต่อบริการพยาบาลจิตเวชเชิงวิชาชีพในโรงพยาบาลจิตเวช
. เชียงใหม่:โรงพยาบาลสวนปรุง และโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่น, 2541.
- พวงรัตน์ บุญญานุรักษ์. ทิศทางในการพัฒนาวิชาชีพพยาบาล.
ใน:เอกสารการสอนชุดวิชาประเด็นและแนวโน้มทางการพยาบาล หน่วยที่ 8-15
. กรุงเทพฯ : ฝ่ายการพิมพ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2530:931-5.
- รัตนา ทองสวัสดิ์. วิชาชีพการพยาบาล
:ประเด็นและแนวโน้ม . เชียงใหม่ : คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,
2532:1-7.
- บุญชัย นวมงคลวัฒนา, จริยา
โสรธรณ์, ชิดชนก โอภาสวัฒนา. รายงานการวิจัยเรื่องความคาดหวังของโรงพยาบาลชุมชนต่อศูนย์วิชาการสุขภาพจิต
เขต 5. นครราชสีมา : โรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมา, 2539.
- ประณีตศิลป์ วงษ์ชมภู .ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินงานสุขภาพจิตของโรงพยาบาลชุมชนในภาคเหนือของประเทศไทย
.(วิทยานิพนธ์) วิทยาศาสตรบัณฑิต. กรุงเทพฯ :มหาวิทยาลัยมหิดล, 2534.
- ภัทรา ถิรลาภ,นิวัติ เอี่ยมทอง,
อริสสา ฤทธิกาญจน์. รายงานการวิจัยเรื่องการให้บริการสุขภาพจิตของ
รพศ./รพท./รพช. ในภาคกลางและภาคตะวันออก. นนทบุรี : ศูนย์สุขภาพจิต
1, 2540.
- ศิริพร ทองบ่อ, ศักดา กาญจนาวิโรจน์กุล.
รายงานการวิจัยเรื่องการศึกษาสภาพการดำเนินงานสุขภาพจิตในหน่วยงานสาธารณสุข
เขต 6. ขอนแก่น:โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่น, 2541 .
- สมหมาย เลาหะจินดา, กรองจิตต์
วงศ์สุวรรณ. รายงานการวิจัยเรื่องปัญหาอุปสรรค และความต้องการของแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลชุมชนในเขตการสาธารณสุขที่
8 ,9,10 ต่อการให้บริการสุขภาพจิต . เชียงใหม่:โรงพยาบาลสวนปรุง,
2539 .