วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
Journal of the Psychiatrist
Association of Thailand
ISSN: 0125-6985
บรรณาธิการ มาโนช หล่อตระกูล
Editor: Manote
Lotrakul, M.D.
ความยินยอมในเวชปฏิบัติทางจิตเวช
ประทักษ์
ลิขิตเลอสรวง พ.บ., น.บ.*
บทคัดย่อ
ความต้องการยินยอมของผู้ป่วยในการประกอบเวชปฏิบัติของบุคลากรทางการแพทย์นั้น
เป็นหลักกฎหมายต่างประเทศ (หลักกฎหมายไม่มีลายลักษณ์อักษรหรือหลักกฎหมายจารีตประเพณี)
ความยินยอมที่ได้รับการบอกกล่าว นั้น มี 3 องค์ประกอบคือ
1. ข้อมูลการตรวจรักษาจากบุคลากรทางการแพทย์
2. ความสมัครใจของผู้ป่วย
3. ความสามารถในการเลือกตัดสินใจของผู้ป่วย
ผู้เขียนได้บรรยายถึงประเด็นของความยินยอมในเวชปฏิบัติทางจิตเวชตามกฎหมายไทยพร้อมเสนอหนังสือให้ความยินยอมใหม่เป็นตัวอย่าง
วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
2541; 43(4):368-77.
คำสำคัญ
ความยินยอม เวชปฏิบัติทางจิตเวช
Consent
in Psychiatric Practice
Pratak
Likitlersuang, M.D., LL.B.*
Abstract
The requirement for the patient
consent for medical practice is a common law principle. There are
3 components of informed consent :-
- Information
- Consent or voluntariness
- Competence
The author described problems
of consent in psychiatric practice in Thailand and also suggested
the new consent form.
J Psychiatr Assoc Thailand
1998; 43(4): 368-77.
Key
words : consent, psychiatric practice
* Department of Forensic Psychiatry,
Somdet Choapreya Hospital, Klongsan, Bangkok 10600.
แต่เดิมนั้นความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับแพทย์เป็นลักษณะที่ผู้ป่วยให้ความเชื่อถือไว้วางใจ
โดยไม่สงสัยที่แพทย์กระทำต่อตนอย่างไรก็ได้ ในขณะที่แพทย์เองก็ทำการตรวจรักษาอย่างเต็มกำลัง
ความสามารถด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นสำคัญ ต่อมาสังคมมีความซับซ้อนขึ้น
การกระทบกระทั่งของคนในสังคมก็มีมากขึ้น มีการเคารพและปกป้องสิทธิส่วนบุคคล
ผู้ป่วยมีสิทธิ ในการตัดสินใจว่าจะยอมให้ใครทำอะไรกับร่างกายและจิตใจของตนเอง
ในขณะเดียวกันบุคลากรทางการแพทย์ก็ได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายในการกระทำต่อร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย
ในเมื่อผู้ป่วยให้ความยินยอมในการตรวจรักษาหรือความยินยอมที่ได้รับการบอกกล่าว
ในประเทศตะวันตกนั้นเน้นเรื่องสิทธิมนุษยชน
จึงให้ความสำคัญอย่างมากกับเรื่องความยินยอมในการตรวจรักษาของผู้ป่วย
ผู้ป่วยสามารถเลือกยอมรับและตัดสินใจเรื่องต่างๆ ได้ด้วยตนเอง โดยแพทย์เป็นเพียงผู้ให้ข้อมูลต่างๆ
เท่านั้น และความยินยอมของผู้ป่วย มิได้ทำให้แพทย์ได้สิทธิพิเศษแต่อย่างใด
ตรงข้ามกลับต้องใช้ความรู้ความชำนาญที่ตนมีอยู่เป็นพิเศษ เพราะถ้าผู้ป่วยได้รับอันตรายเนื่องจากการกระทำโดยประมาทของแพทย์แล้ว
ความยินยอมนั้นก็มิได้ช่วยให้แพทย์พ้นจากความรับผิด
ความยินยอมที่ได้รับการบอกกล่าว
(informed consent) ศ.นพ.วิฑูรย์ อึ้งประพันธ์ ได้ให้คำจำกัดความไว้
หมายถึง ความยินยอมของผู้ป่วยที่ยอมให้ผู้ป่วยประกอบวิชาชีพทางการแพทย์
กระทำต่อร่างกายและจิตใจของตนตามกรรมวิธีในวิชาชีพนั้น โดยที่ผู้ป่วยได้รับการอธิบายหรือบอกกล่าวให้เข้าใจถึงวัตถุประสงค์
รายละเอียด ผลที่อาจเกิดขึ้นทั้งผลดีและผลเสียจากการกระทำนั้น
หลักความยินยอมของต่างประเทศ
ในประเทศที่ใช้หลักกฎหมายไม่มีลายลักษณ์อักษรหรือหลักกฎหมายจารีตประเพณีนั้น
ความยินยอมของผู้ป่วยจะสมบูรณ์ได้ต้องประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ คือ
1. ข้อมูลทางการแพทย์
คือ ข้อมูลที่แพทย์จะต้องอธิบายหรือบอกกล่าวแก่ผู้ป่วย ได้แก่
1.1 การวินิจฉัยโรค คือ ป่วยเป็นโรคอะไร
โรคนี้ทำให้เกิดอาการอย่างไรและรุนแรงเพียงใด
1.2 วิธีการที่แพทย์ตรวจรักษา
รวมทั้งอธิบายรายละเอียดของวิธีการเหล่านั้น
1.3 อัตราเสี่ยงหรืออันตรายหรือผลร้ายที่อาจเกิดขึ้นจากการตรวจรักษา
โดยอย่างน้อยต้องอธิบายหรือบอกกล่าวถึงอันที่มีความรุนแรงถึงขั้นบาดเจ็บสาหัสพิการหรือตายหรือที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง
1.4 ความคาดหวังในความสำเร็จในการตรวจรักษานั้นมีโอกาสมากน้อยเพียงใด
1.5 การพยากรณ์โรค คือ ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการตรวจรักษาตามวิธีการของแพทย์ที่บอกกล่าวไว้
ต่อไปภาวะของผู้ป่วยจะเป็นอย่างไร
1.6 ถ้าไม่ตรวจรักษาโดยวิธีของแพทย์ที่บอกกล่าวไว้นั้น
จะมีวิธีอื่นที่เป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วย อีกหรือไม่ และมีอัตราเสี่ยงหรือผลสำเร็จมากน้อยเพียงใด
อย่างไรก็ตาม อาจมีบางกรณีที่แพทย์สามารถทำการตรวจรักษาได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย
ข้อยกเว้นที่ไม่ต้องบอกกล่าว
มี 4 กรณี คือ
ก. กรณีฉุกเฉินรีบด่วน เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยหรือป้องกันอันตรายทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น
ข. กรณีเป็นสิทธิพิเศษในการรักษา
เมื่อแพทย์เห็นว่าการบอกกล่าวถึงอัตราเสี่ยงในการตรวจรักษา อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดความวิตกกังวลอย่างมาก
หรือลังเลใจในการตัดสินใจ จนเกิดผลเสียมากกว่าผลดี แพทย์อาจไม่ต้องอธิบายเปิดเผยข้อมูลบางส่วนหรือทั้งหมด
แต่อาจบอกกล่าวแก่ญาติของผู้ป่วยแทน (therapeutic privilege)
ค. กรณีผู้ป่วยทางจิตเวชหรือระบบประสาทที่หย่อนความสามารถในการรับรู้เรื่องราวและการตัดสินใจ
ง. กรณีที่ผู้ป่วยไม่ต้องการข้อมูลหรือคำอธิบายจากแพทย์
(waiver)
2. ผู้ป่วยยินยอมอย่างสมัครใจ
โดยมีลักษณะดังนี้
2.1 มีการแสดงออกซึ่งความยินยอมโดยเปิดเผยหรือโดยปริยาย
2.2 ความยินยอมนั้นต้องปราศจากการข่มขู่
บังคับ หลอกลวงหรือสำคัญผิด
2.3 ผู้ยินยอมสามารถรับผิดชอบตนเองได้
2.4 ความยินยอมต่อสิ่งหนึ่งไม่รวมถึงสิ่งอื่นที่เพิ่มเติมหรือแตกต่างออกไป
2.5 ความยินยอมต้องมีการแสดงออกก่อน
และคงมีอยู่ตลอดเวลาที่มีการกระทำ
2.6 ความยินยอมนั้น ต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
3. ผู้ป่วยมีความสามารถให้ความยินยอมได้
ผู้ให้ความยินยอมต้องมีความสามารถที่จะรับรู้ข้อมูล เข้าใจในเหตุและผล
เลือกและตัดสินใจอย่างเหมาะสม
ในต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา
สิทธิของผู้ป่วยเฟื่องฟูมาก ผู้ป่วยมีสิทธิ์ที่จะยินยอมหรือไม่ยินยอมในการตรวจรักษาแทบทุกขั้นตอน
ดังนั้น เวชปฏิบัติทางจิตเวชตั้งแต่การใช้ยาทางจิตเวช การทำจิตบำบัด
การรักษาด้วยไฟฟ้า การบังคับรักษาในโรงพยาบาล ตลอดจนการรักษาความลับของผู้ป่วย
หรือหน้าที่ในการเตือนหรือป้องกันอันตรายต่อบุคคลภายนอก เป็นต้น กฎหมายกำหนดให้จิตแพทย์ต้องให้ข้อมูลหรือบอกกล่าว
หากจิตแพทย์ละเว้นแล้วเกิดความเสียหายแก่ผู้ป่วย จิตแพทย์ย่อมต้องรับผิด
ความรับผิดชอบของแพทย์หากไม่บอกกล่าว
ต้องเข้าหลักเกณฑ์ 4 ประการ คือ
1. แพทย์มีหน้าที่ต้องอธิบายหรือบอกกล่าว
2. การไม่บอกกล่าวถือว่าเป็นการละเลยการปฏิบัติหน้าที่
3. เกิดอันตรายหรือความเสียหายแก่ผู้ป่วยจากการกระทำของแพทย์
4. อันตรายหรือความเสียหายนั้นเป็นผลโดยตรงจากการไม่อธิบายบอกกล่าวของแพทย์
กล่าวคือ หากแพทย์ได้บอกถึงอัตราเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ผู้ป่วยคงจะปฏิเสธการตรวจรักษานั้นตั้งแต่ต้น
หลักความยินยอมตามกฎหมายและแบบธรรมเนียมไทย
สำหรับประเทศไทยนั้นมิได้กำหนดหลักกฎหมายเกี่ยวกับความยินยอมไว้โดยเฉพาะ
คงมีกล่าวถึงอย่างทั่วๆ ไป ในกฎหมายอาญาและแพ่งบ้าง ซึ่งหากเกิดกรณีพิพาท
ซึ่งมีแนวโน้มจะมากขึ้นเป็นลำดับ ย่อมเกิดความยุ่งยากในการพิจารณาหาข้อยุติ
เพื่อเกิดความเป็นธรรมทั้งต่อผู้ป่วยและผู้รักษา อย่างไรก็ตามอาจพออนุโลมว่า
มีอยู่ 5 หลักที่ใช้ร่วมกันอยู่ คือ
1. หลักขนบธรรมเนียมประเพณีที่ยอมรับกันมาจนถือได้ว่า
เป็นหลักกฎหมายทั่วไป ทั้งๆ ที่มิได้บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
กล่าวคือ การตรวจรักษาของแพทย์ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยหายจากโรคหรืออาการทนทุกข์ทรมาน
แพทย์ไม่มีความผิดต่อชีวิตและร่างกาย เช่นเดียวกับการเล่นกีฬา เช่น
ชกมวย หากผู้แข่งขันปฏิบัติตามกติกาของกีฬาประเภทนั้นๆ อย่างถูกต้องแล้ว
ฝ่ายหนึ่งเกิดบาดเจ็บหรือตาย อีกฝ่ายไม่ต้องรับผิด
2. หลักประเพณีปฏิบัติของแพทย์ในชุมชน
(locality rule) กล่าวคือ อันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการตรวจรักษาโดยวิธีนั้นๆ
ถ้าแนวทางปฏิบัติของแพทย์ที่ประกอบวิชาชีพอยู่ในชุมชนนั้น ไม่มีคนใดบอกหรืออธิบายให้ผู้ป่วยทราบ
แพทย์ผู้รักษาก็ไม่จำเป็นต้องบอกถึงอันตรายดังกล่าวแก่ผู้ป่วย
3. หลักกระทำความผิดด้วยความจำเป็นของแพทย์
เพื่อให้ผู้ป่วยพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึง (ป.อ.67)
4. หลักความยินยอมของผู้เสียหายไม่เป็นความผิด
5. หลักไม่มีเจตนาร้าย
ความรับผิดของแพทย์ไทย
อาจเกี่ยวข้องกับหลักกฎหมาย 3 ประเภท คือ
1. กฎหมายควบคุมวิชาชีพ
กล่าวคือ พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม
พ.ศ.2526 ไม่ได้กำหนดเป็นหน้าที่ของแพทย์อย่างชัดเจนที่ต้องอธิบายหรือบอกกล่าวเกี่ยวกับการตรวจรักษา
หากแต่ระบุไว้กว้างๆ ว่า แพทย์ต้องรักษามาตรฐานของการประกอบวิชาชีพเวชกรรมในระดับที่ดีที่สุด
ดังนั้นการไม่อธิบายหรือบอกกล่าวของแพทย์จึงไม่ถือว่าเป็นความผิดในการประกอบเวชปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง
2. กฎหมายอาญา แพทย์อาจถูกกล่าวหาใน
2 ประเด็น คือ
2.1 ความผิดต่อชีวิตและร่างกาย
โดยกล่าวหาแพทย์ทำร้ายร่างกายผู้ป่วย (ป.อ.295)
2.2 ความผิดต่อเสรีภาพ โดยกล่าวหาแพทย์ข่มขืนใจผู้ป่วยให้จำยอมในการตรวจรักษาโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย
หากปล่อยทิ้งไว้ (ป.อ.309) หรือกล่าวหาแพทย์หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้ป่วยปราศจากเสรีภาพในร่างกาย
(ป.อ.310)
3. กฎหมายเพ่ง ศาลฎีกาเคยพิพากษาตีความลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยอนุโลมเหมือนทำ
สัญญา ต่อกัน กล่าวคือ โรงพยาบาลเปิดบริการตรวจรักษาแก่คนทั่วไป
ผู้ป่วยเสนอขอรับบริการ แพทย์ก็สนองโดยรับตรวจรักษา และแพทย์ได้รับค่าตอบแทนจากผู้ป่วยจึงถือว่าเป็น
สัญญาต่างตอบแทน ชนิด สัญญาจ้างทำของ โดยผู้รับจ้างหรือแพทย์ตกลงรับจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือการตรวจรักษาจนสำเร็จ
ให้แก่ผู้ว่าจ้างหรือผู้ป่วย และผู้ว่าจ้างหรือผู้ป่วยตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น
(ป.พ.พ.587)
ส่วนสัญญาระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยจะสมบูรณ์ได้ต้องประกอบด้วยความยินยอมที่สมัครใจของผู้ป่วยดังที่กล่าวมาแล้ว
และ
1. ผู้ป่วยเข้าใจใน สาระสำคัญของการกระทำของแพทย์
ได้แก่ วิธีการ เหตุผล และผลโดยตรงจากการตรวจรักษา (ป.พ.พ.119)
2. แพทย์ต้อง ไขข้อความจริง
ของการตรวจรักษา ได้แก่ อัตราเสี่ยง ความคาดหวังในผลสำเร็จ วิธีการอื่นที่อาจใช้แทน
การพยากรณ์โรค และ ข้อคุณสมบัติ ของแพทย์ กล่าวคือ ความรู้ความเชี่ยวชาญตลอดจนปริญญาบัตรของแพทย์ผู้รักษา
(ป.พ.พ.124)
หากแพทย์นิ่งเฉยไม่บอกกล่าวแก่ผู้ป่วยแล้วเกิดความเสียหายในภายหลัง
อาจถือได้ว่าเป็น กลฉ้อฉล ของแพทย์ ผู้ป่วยย่อมเรียก ค่าเสียหายชดใช้
ได้ (ป.พ.พ.138)
วิวัฒนาการของความยินยอมในการตรวจรักษาของผู้ป่วยจิตเวชของไทย
สังคมไทยแต่เดิม ผู้ป่วยยินยอมให้แพทย์ตรวจรักษาตามที่เห็นสมควรและโรงพยาบาลจะมีหนังสือรับรองให้ผู้ป่วยหรือญาติลงนามเพื่อคุ้มครองการกระทำของแพทย์หรือโรงพยาบาล
ให้พ้นผิดดังเช่น หนังสือสัญญารับรองการรักษาพยาบาลคนไข้ (ร.พ.จ.23)
ดังภาพที่ 1 ซึ่งสันนิษฐานว่า น่าจะใช้มาตั้งแต่สมัย ศ.นพ.อรุณ ภาคสุวรรณ
เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ต่อมากระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดแบบฟอร์มของหนังสือยินยอมสำหรับโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขหมือนกันทั่วประเทศ
ดังภาพที่ 2 หนังสือคำยินยอมให้ทำการรักษา และภาพที่ 3 หนังสือคำไม่ยินยอมให้ทำการรักษา
ซึ่งในทัศนะส่วนตัวของผู้เขียนเห็นว่าเป็นหนังสือยินยอมที่ใช้โดยทั่วไปทั้งโรงพยาบาลฝ่ายกายและฝ่ายจิต
โดยเฉพาะผู้ป่วยทางจิตมักมีปัญหาในเรื่องความสามารถที่จะให้ความยินยอมได้
ปัญหาของหนังสือยินยอมที่ใช้ในโรงพยาบาลฝ่ายจิตนั้น
มีอยู่ 4 ประการ คือ
1. ความยินยอมของผู้ป่วยในการเข้าตรวจรักษาในโรงพยาบาล
2. ข้อความในหนังสือยินยอมบางตอนไม่ค่อยรัดกุม
เนื่องจากไม่ใช้ภาษาที่บัญญัติในกฎหมาย ซึ่งหากเกิดข้อพิพาทขึ้นอาจยุ่งยากในการตีความหรือพิสูจน์ข้อเท็จจริง
3. ขาดการเน้นความสำคัญของการตรวจรักษาด้วยวิธีพิเศษกับผู้ป่วย
ซึ่งมักเกิดผลอันไม่พึงประสงค์ได้บ่อย เนื่องจากเป็นเทคนิกใหม่ หรือมีอัตราเสี่ยงสูง
หรือประชาชนทั่วไปยังไม่มีความรู้หรือมีทัศนคติที่ไม่ดี เช่น E.C.T
โดยเฉพาะแบบ unmodified ซึ่งยังทำกันแพร่หลายในโรงพยาบาลจิตเวช
4. บุคคลผู้มีอำนาจยินยอมแทนผู้ป่วยตามกฎหมายมิได้ระบุในหลายกรณี
ซึ่งพบได้ไม่น้อยในทางปฏิบัติ เช่น ในกรณีฉุกเฉิน แพทย์ไม่อาจติดต่อญาติได้ทันท่วงที
หรือผู้นำส่งมิใช่บุคคลผู้มีอำนาจทำการแทน เป็นต้น
ผู้เขียนจึงขอเสนอแนวตัวอย่างหนังสือยินยอมเพื่อแก้ไขปัญหาข้างต้นระยะหนึ่ง
(ภาพที่ 4) และเห็นควรให้มีการจัดตั้งคณะทำงานในระดับกรมสุขภาพจิตหรือกระทรวงสาธารณสุข
พิจารณาให้เกิดแบบฟอร์มหนังสือยินยอมสำหรับโรงพยาบาลจิตเวชโดยเฉพาะในโอกาสอันรวดเร็วต่อไป
ับุคคลผู้มีอำนาจให้ความยินยอมแทนผู้ป่วย
ในทางปฏิบัติมักพบเสมอว่า ผู้ป่วยทางจิตเวชที่ต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาลนั้น
มักมีอาการทางจิตมากจนไม่สามารถรับรู้ข้อเท็จจริงเลือกตัดสินใจและรับผิดชอบกับตัวเองได้
(incompetence to inform) กล่าวคือ ไม่สามารถให้ความยินยอมด้วยตนเองได้
จำต้องมีบุคคลอื่นให้ความยินยอมในการตรวจรักษาหรือลงนามแทนผู้ป่วย
(proxy consent) ซึ่งในกฎหมายไทยก็ได้ระบุถึงตัวบุคคลผู้มีอำนาจทำการแทนผู้ป่วยไว้หลายกรณี
แต่ก็มีบางกรณีที่อนุโลมทำกันโดยเข้าใจเอาเอง
1. กรณีเด็กหรือผู้เยาว์ ทำแทนโดย
พ่อแม่หรือผู้ปกครอง
2. กรณีโสด ทำแทนโดย พ่อแม่
3. กรณีสมรสตามกฎหมาย ทำแทนโดย
สามีหรือภรรยา
4. กรณีคนไร้ความสามารถ ทำแทนโดย
ผู้อนุบาล
5. กรณีคนเสมือนไร้ความสามารถ
ทำแทนโดย ผู้พิทักษ์
6. กรณีฉุกเฉินติดต่อญาติไม่ได้ในขณะนั้น
เพื่อความจำเป็นในการป้องกันอันตรายที่มีต่อผู้ป่วยหรือผู้อื่น แพทย์น่าจะทำการตรวจรักษาได้เลย
แล้วจึงขอความยินยอมจากญาติหรือผู้ป่วยเมื่ออาการทางจิตทุเลาในภายหลัง
7. กรณีผู้ป่วยถูกนำส่งโดยผู้พบเห็นหรือญาติพี่น้องอื่น
โรงพยาบาลมักให้ลงนามแทนผู้ป่วยไปก่อน ซึ่งไม่มีผลทางนิตินัยอย่างแท้จริง
หากเป็นไปได้โรงพยาบาลน่าจะติดตามบุคคลตามกฎหมายที่ระบุข้างต้นมาลงนามแทน
หรือให้ผู้ป่วยลงนามเมื่ออาการทางจิตทุเลาในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม แม้หนังสือยินยอมจะมีความสมบูรณ์มากเพียงใด
แพทย์หรือโรงพยาบาลพึงตระหนักไว้เสมอว่า การที่ผู้ป่วยยินยอมให้แพทย์ทำการตรวจรักษา
มิได้หมายความว่าผู้ป่วยยินยอมให้แพทย์กระทำการโดยประมาทได้ด้วย ข้อความในหนังสือยินยอมเพิ่มเติมว่า
หากเกิดความเสียหายขึ้น ผู้ป่วยจะไม่ทำการฟ้องร้อง จึงไม่มีผลในทางกฎหมายและขัดกับกฎหมายโดยชัดแจ้งด้วย
เพราะใน ป.พ.พ. มาตรา 373 บัญญัติไว้ว่า ความตกลงทำไว้ล่วงหน้าเป็นข้อความยกเว้น
มิให้ลูกหนี้ต้องรับผิดชอบ เพื่อกลฉ้อฉลหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของตนนั้น
ท่านว่าเป็นโมฆะ
เอกสารอ้างอิง
- Gutheil TG. Forensic psychiatry.
In: Kaplan HI, Sadock BJ, eds. Comprehensive textbook of psychiatry.
5th ed, Baltimore : Williams & Wilkins, 1989 :
2111-2.
- Schwartz HI, Roth LH. Informed
consent and competency in psychiatric practice. In : Tasman A,
Hales RE, Frances AJ, eds. Review of psychiatry. Vol. 8, Washington
DC : American Psychiatric Press, 1989 : 409-31.
- Roth LH. Informed consent
and its applicability for psychiatry. In : Michels R, Carenar
JO, Brodie HK, et al, eds. Psychiatry. Philadelphia : J.B. Lippincott,
1991: 1-14.
- วิฑูรย์ อึ้งประพันธ์. ความยินยอมที่ได้รับการบอกกล่าวในเวชปฏิบัติ
ใน : นิติเวชสาธกฉบับกฎหมายกับเวชปฏิบัติ. กรุงเทพฯ : โครงการตำราศิริราช
2530 : 104-25.
- ประทักษ์ ลิขิตเลอสรวง. การรักษาด้วยไฟฟ้า
: มุมมองในแง่จรรยาบรรณและในเชิงกฎหมาย. วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
2532; 34 : 25-9.
โรงพยาบาล
วันที่
.. เดือน
...พ.ศ.
.
ข้าพเจ้า
.
.. อายุ
.ปี เชื้อชาติ
. สัญชาติ
.. ที่อยู่บ้านเลขที่
..
ถนน
ตำบล
. อำเภอ
. จังหวัด
. เกี่ยวข้องเป็น
คนไข้ชื่อ
อายุ
.. ปี
ได้นำคนไข้รายนี้มารับการรักษาที่โรงพยาบาลนี้
เมื่อวันที่
เดือน
พ.ศ.
..
ข้าพเจ้าขอให้คำรับรองไว้แก่โรงพยาบาล
ตามหัวข้อต่างๆ
ต่อไปนี้.-
- หากคนไข้ได้รับอันตรายจากการกระทำใดๆ
ในระหว่างคนไข้ด้วยกัน หรือจากเหตุสุดวิสัยใด ข้าพเจ้าจะไม่ถือว่าเป็นความผิดของโรงพยาบาลแต่ประการใด
- หากคนไข้กระทำการใดๆ อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของโรงพยาบาลหรือบุคคลอื่น
ซึ่งโรงพยาบาลจะต้องรับผิดชอบ ข้าพเจ้ายินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โรงพยาบาลทั้งสิ้น
ในทันที ที่ได้รับแจ้งจากทางโรงพยาบาล
- เมื่อแพทย์ทราบว่าอาการคนไข้สมควรที่จะกลับบ้านได้แล้ว
และได้แจ้งให้ข้าพเจ้าทราบ หากข้าพเจ้าละเลยไม่มารับกลับตามกำหนดนัด
ข้าพเจ้ายินยอมให้แพทย์หรือโรงพยาบาลปล่อยตัวคนไข้กลับเองได้ตามลำพัง
และถือว่าคนไข้อยู่ในความรับผิดชอบของข้าพเจ้าทันทีที่คนไข้ออกจากโรงพยาบาล
- หากแพทย์หรือโรงพยาบาลจำเป็นจะต้องรักษาคนไข้ด้วยวิธีการใดๆ
ซึ่งอาจจะเกิดอันตรายแก่คนไข้ได้แล้ว ข้าพเจ้าอนุญาตให้แพทย์ทำการรักษาด้วยวิธีนั้นๆ
ได้ หากเกิดอันตรายแก่คนไข้ประการใดๆ ข้าพเจ้า จะไม่ถือว่าเป็นความผิดของแพทย์แต่ประการใด
และค่ารักษาพยาบาลรวมทั้งค่าบริการต่างๆ ในการนี้ ข้าพเจ้ารับรองว่าจะเป็นผู้ชดใช้ให้แก่โรงพยาบาลทั้งสิ้น
- ในกรณีที่คนไข้ถึงแก่กรรมด้วยประการใดๆ
ในระหว่างรับการรักษาพยาบาลอยู่ในโรงพยาบาล เมื่อทางโรงพยาบาลเห็นความจำเป็นจะทำการผ่าตัดร่างกายและสมอง
เพื่อประโยชน์ในการศึกษา ค้นคว้าทางวิชาการแล้ว ข้าพเจ้ายินยอมให้กระทำการผ่าตัดเพื่อการศึกษาได้
โดยแพทย์จะกระทำอย่างประณีต และรักษาส่วนต่างๆ ของร่างกายไว้ในสภาพเดิมเท่าที่จะทำได้
(ลงชื่อ)
. ผู้ให้สัญญา
(ลงชื่อ)
. พยาน
(ลงชื่อ)
. พยาน
ภาพที่ 1 หนังสือสัญญารับรองการรักษาพยาบาล
รพจ.23 ของโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา
คำยินยอมให้ทำการรักษา
เขียนที่
โรงพยาบาล
..
วันที่
เดือน
.. พ.ศ
..
ข้าพเจ้า
.
ผู้ป่วย
(ชื่อผู้ป่วย)
..
.
มีความเกี่ยวข้องเป็น
.
(ชื่อผู้แทนผู้ป่วย)
ของ
.
.
ผู้ป่วย
(ชื่อผู้ป่วย)
ยินยอมให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล
ทำการรักษา
..
เพื่อวินิจฉัยบำบัดโรคส่งเสริม
(ชื่อผู้ป่วย)
สุขภาพ ป้องกันโรค การรักษาพยาบาล
การผดุงครรภ์ และการพื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจทางการแพทย์ เช่น การให้ยาระงับความรู้สึก
การฉีดยาหรือสารเข้าร่างกาย การผ่าตัด การรักษาด้วยวิธีพิเศษทุกชนิด
และข้าพเจ้ายอมรับผลที่เกิดขึ้นจากการวินิจฉัย รักษาพยาบาลนั้นๆ รวมทั้งยินยอมให้ส่งผู้ป่วยไปเพื่อรับการตรวจรักษา
ณ สถานพยาบาลอื่น เมื่อมีเหตุอันสมควร
หาก
.
.. ได้รับอันตรายอันเนื่องจากการทำการรักษาตามวรรคแรก
ข้าพเจ้าจะไม่เรียกร้องหรือฟ้องร้อง
(ชื่อผู้ป่วย)
ดำเนินคดีในทางอาญาและแพ่งกับเจ้าหน้าที่และส่วนราชการเจ้าสังกัดของโรงพยาบาล
แต่อย่างใด
เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล
ได้อธิบายและข้าพเจ้าได้อ่านข้อความเข้าใจโดยตลอดแล้ว
จึงลงลายมือชื่อหรือลายพิมพ์นิ้วมือไว้เป็นหลักฐาน
ลงชื่อ
.ผู้ให้ความยินยอม
(
)
ลงชื่อ
.
พยาน
(
)
ลงชื่อ
..
พยาน
(
.
)
หมายเหตุ 1. ให้ชี้แจงทุกครั้งก่อนลงลายมือชื่อในหนังสือคำยินยอมให้ทำการรักษา
ผู้ให้คำยินยอมได้แก่
1.1 ผู้ป่วย กรณีบรรลุนิติภาวะ
และมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
1.2 สามีหรือภรรยาตามกฎหมาย
และฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มีสติสัมปชัญญะ (ไม่รู้สึกตัว)
1.3 ผู้แทนโดยชอบธรรม กรณีผู้ป่วยยังไม่บรรลุนิติภาวะ
1.4 ผู้อนุบาล กรณีผู้ป่วยเป็นคนวิกลจริต
หรือคนไร้ความสามารถ
1.5 ผู้พิทักษ์ กรณีผู้ป่วยเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ
2. กาเครื่องหมาย / ลงในช่อง
แล้วกรอกข้อความที่เว้นว่างไว้
3. ในกรณีลงลายพิมพ์นิ้วมือ
ต้องมีพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมืออย่างน้อยสองคน
ภาพที่ 2 หนังสือคำยินยอมให้ทำการรักษาของกระทรวงสาธารณสุข
คำไม่ยินยอมให้ทำการรักษา
เขียนที่
..
วันที่
.
เดือน
. พ.ศ.
..
.
... ผู้ป่วย
ไม่สมัครใจที่จะรับการบำบัดรักษา
(ชื่อผู้ป่วย)
ข้าพเจ้า / หรืออยู่เพื่อรับการบำบัดรักษาใน
..
.
.
(ชื่อสถานพยาบาล)
. มีความเกี่ยวข้องเป็น
(ชื่อผู้แทนผู้ป่วย)
ของ
ผู้ป่วย
ไม่ยินยอมให้
..
(ชื่อผู้ป่วย) (ชื่อผู้ป่วย)
รับการบำบัดรักษา หรืออยู่เพื่อรับการบำบัดรักษาใน
..
..
.
(ชื่อสถานพยาบาล)
หากบังเกิดผลเสียหายหรืออันตรายอย่างใดขึ้นแก่
.
.ข้าพเจ้ารับว่าไม่อยู่
(ชื่อผู้ป่วย)
ในความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่และส่วนราชการเจ้าสังกัดของ
..
แต่ประการใด
(ชื่อสถานพยาบาล)
จึงลงลายมือชื่อหรือลายพิมพ์นิ้วมือไว้เป็นหลักฐาน
ลงชื่อ
.ผู้ป่วย/ผู้แทนผู้ป่วย
(
)
ลงชื่อ
พยาน
(
)
ลงชื่อ
พยาน
(
)
หมายเหตุ 1. ให้ชี้แจงทุกครั้งก่อนลงลายมือชื่อ
ลายพิมพ์นิ้วมือ ในหนังสือคำไม่ยินยอมให้ทำการรักษา ผู้ให้คำยินยอม
ได้แก่
1.1 ผู้ป่วย กรณีบรรลุนิติภาวะ
และมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
1.2 สามี หรือภรรยา ตามกฎหมายและฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มีสติสัมปชัญญะ
1.3 ผู้แทนโดยชอบธรรม กรณีผู้ป่วยยังไม่บรรลุนิติภาวะ
เว้นแต่กรณีได้สมรสตามกฎหมาย
1.4 ผู้อนุบาล กรณีผู้ป่วยเป็นคนวิกลจริต
หรือคนไร้ความสามารถ
1.5 ผู้พิทักษ์ กรณีผู้ป่วยเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ
2. กาเครื่องหมาย / ลงในช่อง
แล้วกรอกข้อความที่เว้นว่างให้
3. ในกรณีลงลายพิมพ์นิ้วมือ
ต้องมีพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมืออย่างน้อยสองคน
ภาพที่ 3 หนังสือคำไม่ยินยอมให้ทำการรักษา
ของกระทรวงสาธารณสุข
หนังสือยินยอม
เขียนที่โรงพยาบาล
วันที่
เดือน
พ.ศ.
..
(ชื่อผู้ป่วย)
ผู้ป่วย
ข้าพเจ้า
(ชื่อผู้แทนผู้ป่วย)
.. เกี่ยวข้องเป็น
.ของ
. (ชื่อผู้ป่วย)
.. ผู้ป่วย
ยินยอมเข้ารับการตรวจรักษาในโรงพยาบาล
และให้เจ้าหน้าที่ของ โรงพยาบาลดังกล่าวทำการตรวจรักษา
(ชื่อผู้ป่วย)
เพื่อตรวจวินิจฉัย บำบัดรักษาโรค
ส่งเสริมป้องกัน ฟื้นฟูสมรรถภาพทั้งร่างกายและจิตใจ เช่น การให้ยาทางจิตเวช
การทำจิตบำบัด พฤติกรรมบำบัด และสังคมบำบัด เป็นต้น และยินยอมให้ส่งผู้ป่วยไปเพื่อรับการตรวจรักษา
ณ สถานพยาบาลอื่น เมื่อมีเหตุอันสมควร ตลอดจนการตรวจรักษาด้วยวิธีพิเศษ
ได้แก่
.. (การรักษาด้วยไฟฟ้า หรือ E.C.T.)
โดยที่ข้าพเจ้าได้รับการอธิบายหรือบอกกล่าวจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลดังกล่าว
จนเป็นที่เข้าใจเป็นอย่างดีถึงวิธีการ เหตุผล ผลที่คาดหมาย ตลอดจนผลเสียหรืออันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการตรวจรักษานั้น
ๆ แล้วทุกประการ
หาก
(ชื่อผู้ป่วย)
..
ได้รับอันตรายหรือความเสียหายใดๆ ก็ตามจากการตรวจรักษา ข้าพเจ้าจะไม่ถือเป็นความผิดและดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งในทางอาญาและทางแพ่งกับเจ้าหน้าที่และส่วนราชการเจ้าสังกัดของโรงพยาบาล
แต่อย่างใด
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ความยินยอมนี้เป็นไปโดยสมัครใจ
มิได้ถูกบังคับ ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือเข้าใจผิดในสาระสำคัญ ข้อเท็จจริง
และคุณสมบัติของการตรวจรักษา รวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยข้าพเจ้าได้อ่านข้อความและ/หรือได้รับการอธิบายจนเป็นที่เข้าใจโดยตลอดแล้ว
จึงลงลายมือชื่อ หรือลายพิมพ์นิ้วมือไว้เป็นหลักฐานต่อหน้าพยาน
ลงชื่อ
. ผู้ให้ความยินยอม
(
.)
ลงชื่อ
..
พยาน
(
.)
ลงชื่อ
.
พยาน
(
)
ภาพที่ 4 แนวตัวอย่างหนังสือยินยอม
|