วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
Journal of the Psychiatrist
Association of Thailand
ISSN: 0125-6985
บรรณาธิการ มาโนช หล่อตระกูล
Editor: Manote
Lotrakul, M.D.
วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
2541; 43(3): 226-39.
ปัจจัยทางจิตสังคมในเด็กและวัยรุ่นที่มารับบริการที่ศูนย์สุขวิทยาจิต
พรรณพิมล หล่อตระกูล พ.บ.*
พรรณนิภา มีรสล้ำ ศศ.บ.*
ศศกร วิชัย ศศ.บ.*
* ศูนย์สุขวิทยาจิต กรมสุขภาพจิต
ถนนพระราม 6 กรุงเทพฯ 10400
ในจิตเวชเด็กและวัยรุ่นได้มีการเสนอการวินิจฉัยความผิดปกติทางจิตเวชเด็กและวัยรุ่นเป็นแบบ
multiaxial1 โดยขยายการวินิจฉัยเป็นสองแง่มุมหลัก แง่มุมหนึ่งเป็นการวินิจฉัยโดยคำนึงถึงการแสดงออกของอาการ
อีกด้านเป็นการวินิจฉัยสาเหตุหรือความสัมพันธ์ของปัจจัยทางชีววิทยา
ทางจิตวิทยาและทางจิตสังคม ปัจจัยทางจิตสังคมเป็นประสบการณ์และสภาวะแวดล้อมทางสังคมวัฒนธรรมของเด็กที่มีผลต่อพัฒนาการของเด็ก3
ปัจจัยทางจิตสังคมจึงมีบทบาทที่สำคัญยิ่งในงานจิตเวชเด็ก การจำแนกและบันทึกข้อมูลทางจิตสังคมของเด็กอย่างเป็นระบบ
เชื่อถือได้ เที่ยงตรง และครอบคลุมทุกภาวะจิตสังคมที่มีผลกระทบต่อความผิดปกติทางจิตเวชเป็นสิ่งที่จำเป็น
ซึ่งจะช่วยในการวางแผนการรักษา การพยากรณ์โรค2 และที่สำคัญการวางแผนงานส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิต
ให้ครอบครัวและสังคมได้ตระหนักว่า สภาพครอบครัวหรือสังคมบางประการมีผลทำให้เด็กมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาทางจิตเวช
อันส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กในระยะยาว
องค์การอนามัยโลกได้เสนอให้มีการวินิจฉัยเป็นแบบ
multiaxial ตั้งแต่ปี ค.ศ.19753 และได้ทำการศึกษาวิจัยมาโดยตลอด
พบว่าการวินิจฉัยเรื่องภาวะทางจิตสังคมมีความน่าเชื่อถือต่ำที่สุด1,4
ในปีค.ศ.1988 องค์การอนามัยโลกได้ระดมคณะทำงานเพื่อปรับปรุงแก้ไขแนวทางในการวินิจฉัยภาวะทางจิตสังคมใหม่ให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
และที่สำคัญได้ทำการศึกษาภาคสนามในหลายลักษณะวัฒนธรรม3
เนื่องจากภาวะจิตสังคมในต่างวัฒนธรรมอาจตัดสินว่าผิดปกติไม่เหมือนกัน
คณะผู้วิจัยได้นำเอาแบบการวินิจฉัยใหม่ขององค์การอนามัยโลกมาทำการศึกษาในครอบครัวไทย
เพื่อหาความถี่ของความผิดปกติที่เกิดขึ้นในสังคมไทย เปรียบเทียบกับที่อื่นๆ
และเพื่อเป็นแนวทางในการปรับการวินิจฉัยปัจจัยทางจิตสังคมในเด็กให้เป็นระบบเดียวกัน
เพื่อประโยชน์ในการศึกษาข้อมูลทางจิตเวชเด็กในประเทศไทยต่อไป
การพัฒนาการของเด็กได้รับผลกระทบจากครอบครัวและสิ่งแวดล้อมหลายรูปแบบ5
การศึกษาปัจจัยทางจิตสังคมเดิมให้ความสำคัญที่วิธีการเลี้ยงดูลูกของแม่
ในปัจจุบันงานวิจัยจะมุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์ในครอบครัว รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ในครอบครัวที่มีความแตกต่างกันไปในแต่ละวัฒนธรรม
การศึกษาผลกระทบครอบครัวต่อเด็กต้องให้ความสำคัญต่อวัฒนธรรมที่เด็กและครอบครัวดำรงอยู่6
Dunn ได้เสนอการศึกษาผลกระทบของครอบครัวไว้ 4 แนวทาง ดังนี้
แนวทางแรก เกี่ยวกับลักษณะของครอบครัว
(family unit) เน้นที่ลักษณะครอบครัวที่แตกต่างกัน และการเปลี่ยนโครงสร้างของครอบครัวในภายหลัง
ลักษณะทางประชากรศาสตร์และทางสังคมของครอบครัวปัจจุบันเปลี่ยนไปจากเดิม
ครอบครัวในปัจจุบันส่วนมากประกอบด้วยพ่อแม่ลูก ในขณะที่อัตราของครอบครัวที่มีแม่หรือพ่อคนเดียวเพิ่มมากขึ้น
อัตราครอบครัวที่มีพ่อแม่เลี้ยง มีลูกเลี้ยง มีลูกที่เกิดหลังการแต่งงานใหม่ในครอบครัวที่พ่อแม่มีการหย่าร้างแยกทางกันมีมากขึ้น
รวมทั้งการตั้งครรภ์ในเด็กวัยรุ่นและครอบครัวที่แม่ไม่ได้แต่งงาน ในประเทศไทยปีพ.ศ.2537
มีอัตราการหย่าร้างร้อยละ 9.75 และมีอัตราเพิ่มของการหย่าร้างจากปีพ.ศ.2536
อีกร้อยละ 3.977 ขนาดของครัวเรือนในประเทศไทยมีแนวโน้มลดลงจากครอบครัวใหญ่
(ร้อยละ26.26) มาเป็นครอบครัวเดี่ยว (ร้อยละ67.58) อัตราการหย่าร้างในปีพ.ศ.2536
ในกรุงเทพมหานครร้อยละ 20.97 ปริมณฑลร้อยละ 8.11 ในภาคเหนือร้อยละ
23.33 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 22.01 และในภาคใต้เพียงร้อยละ
8.598
การจัดแบ่งสถานะของตัวเด็กในครอบครัวเป็นไปได้หลายแบบ
เช่น อาศัยอยู่กับพ่อแม่โดยกำเนิด พ่อแม่เลี้ยง พ่อแม่อุปถัมภ์ พ่อแม่บุญธรรม
และยังมีการเลี้ยงดูที่ไม่ใช่คนในครอบครัว เหตุผลใหญ่ประการหนึ่งคือการทำงานของแม่
ทำให้วิถีชีวิตของเด็กในปัจจุบันเปลี่ยนไปจากเดิม พ่อแม่อาจต้องผลัดกันทำงาน
หรือเด็กมีบุคคลอื่นดูแล สภาพครอบครัวปกติที่มีพ่อแม่อยู่ด้วยกันและแม่อยู่กับบ้านมีน้อยลง8
แนวทางที่สอง เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ในครอบครัว
(family relationships) เป็นการศึกษาลักษณะและปฏิสัมพันธ์ของแต่ละความสัมพันธ์ภายในครอบครัว
การกำหนดลักษณะความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัว และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ในครอบครัว
เช่น ปฏิกริยาของครอบครัวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งแต่ละครอบครัวจะมีลักษณะเฉพาะ
(family style) ของครอบครัว ผลของความสัมพันธ์ในครอบครัวที่มีต่อเด็กไม่ได้เกิดจากความสัมพันธ์ของเด็กกับบุคคลในครอบครัวเท่านั้น
ยังได้รับผลกระทบจากความสัมพันธ์อื่นในครอบครัวด้วย
แนวทางที่สาม เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะครอบครัวหรือความสัมพันธ์ที่ผิดปกติในครอบครัวกับการปรับตัวและผลกระทบต่อความเป็นอยู่ที่ดีของเด็ก
โดยเน้นที่ความกดดันและความแตกแยกที่เกิดขึ้นในครอบครัว แม้จะมีการศึกษาลักษณะความสัมพันธ์ในครอบครัวจำนวนมาก
แต่วิถีทางที่ความสัมพันธ์ในครอบครัวเกิดผลกระทบต่อเด็กอย่างไรยังไม่ชัดเจน
เชื่อว่าอาจมีผลต่อบุคลิกภาพหรือ self-esteem ของบุคคล ซึ่งส่งผลต่อลักษณะความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในอนาคต
แนวทางที่สี่ ศึกษาเกี่ยวกับประสบการณ์ของตัวเด็กที่ต่างกันในครอบครัวที่มีปัญหาแบบเดียวกัน
เป็นการศึกษาผลของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและความสัมพันธ์ในครอบครัวที่มีต่อเด็ก
การสรุปผลกระทบจากประสบการณ์ในครอบครัวที่เกิดต่อเด็กว่าเกิดผลเช่นไรเป็นเรื่องยาก
นอกจากนี้ยังมีหลายเหตุการณ์ที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดปัญหาพฤติกรรมในเด็ก
แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าสาเหตุใดเป็นสาเหตุโดยตรง
ศิริพร สุวรรณทศ9
ได้ทำการประเมินสภาวะทางสังคมจิตใจของคนไข้ที่มีปัญหาทางอารมณ์ โดยศึกษาผู้ป่วยที่มารับบริการที่ศูนย์สุขวิทยาจิตและได้รับการวินิจฉัยว่ามีปัญหาทางอารมณ์จำนวน
72 ราย จากการศึกษาภาวะทางจิตสังคม พบว่าครอบครัวมีปัญหาความเป็นพ่อแม่ถึงร้อยละ
72.73 ได้แก่ พ่อแม่มีความคาดหวังในตัวลูกสูง พ่อแม่ที่ตามใจลูกมากเกินไป
พ่อแม่มีความขัดแย้งกันในการเลี้ยงดูบุตร และพ่อแม่ไม่มีเวลา และพบความกดดันทางจิตสังคมเนื่องจากครอบครัวแตกแยกร้อยละ
15.58 เมื่อศึกษาความสัมพันธ์กับเด็กกลุ่มอายุ 8-11 ปีที่มีปัญหาทางอารมณ์
พบว่าร้อยละ 42.85 พ่อแม่มีความวิตกกังวล และคาดหวังในตัวเด็กสูง
อินทิรา พัวสกุล และคณะ10
ได้ศึกษาย้อนหลังสภาพชีวิตของผู้ป่วยเด็กที่มารับบริการที่โรงพยาบาลประสาทเชียงใหม่จำนวน
50 ราย พบว่าเด็กส่วนใหญ่เป็นกลุ่มปัญหาทางอารมณ์ร้อยละ 64 และร้อยละ
44 ของปัญหาทางอารมณ์นี้เป็นปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก โดยเฉพาะกับพ่อ
และได้ศึกษาเจตคติของพ่อแม่ในการเลี้ยงลูก พบว่าเจตคติที่สำคัญที่เป็นปัญหาเป็นแบบไม่ต้องการลูก
รองลงมาเป็นเจตคติที่ไม่อบรมสั่งสอนแต่ทำโทษรุนแรง
องค์การอนามัยโลกได้มีการพัฒนาการวินิจฉัยภาวะทางจิตสังคมมาโดยตลอด
ศูนย์สุขวิทยาจิตซึ่งเป็นหน่วยงานของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
มีหน้าที่รับผิดชอบงานด้านสุขภาพจิตเด็ก วัยรุ่น และครอบครัว ได้ติดตามการวินิจฉัยภาวะทางจิตสังคมมาโดยตลอด
ในช่วงปีพ.ศ.2535-37 ศูนย์สุขวิทยาจิตได้พัฒนาคู่มือการวินิจฉัยภาวะความกดดันทางจิตสังคม
โดยอ้างอิงจากการวินิจฉัยภาวะทางจิตสังคมของศาสตราจารย์ Michael Rutter
ซึ่งนำเสนอต่อองค์การอนามัยโลก และใช้ในประเทศอังกฤษ เมื่อพิจารณาจะเห็นได้ว่าคู่มือดังกล่าวมีเพียงหัวข้อต่างๆ
ที่จัดรวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่เท่านั้น ไม่มีรายละเอียดของเกณฑ์การวินิจฉัย
การเลือกลงหัวข้อใดขึ้นกับดุลพินิจของผู้ใช้ ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ
การพัฒนาคู่มือการวินิจฉัยใหม่ตามระบบของ ICD-1011 เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการพัฒนาระบบการจัดเก็บข้อมูลให้มีความน่าเชื่อถือ
เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่องานสุขภาพจิตเด็ก วัยรุ่นและครอบครัว
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ
1) ศึกษาความถี่ของปัจจัยทางจิตสังคมในแต่ละหัวข้อ เพื่อแสดงปัญหาทางจิตสังคมในวัฒนธรรมไทยในกลุ่มเด็กที่มีปัญหาทางจิตเวช
2) หาความสัมพันธ์ของปัจจัยทางจิตสังคมกับอายุ ระดับสติปัญญา เพื่อดูว่าในกลุ่มอายุและสติปัญญาที่ต่างกันมีความผิดปกติของปัจจัยทางจิตสังคมที่สัมพันธ์กับกลุ่มอายุและสติปัญญาหรือไม่
ซึ่งแสดงถึงค่านิยม วิธีการดูแลเด็กที่ต่างกันตามลักษณะของเด็ก และ
3) หาความสัมพันธ์ระหว่างอาการกับปัจจัยทางจิตสังคม เพื่อศึกษาปัจจัยทางจิตสังคมบางประการที่ทำให้เด็กเกิดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการด้านอารมณ์
สังคม และการเรียน
วิธีการศึกษา
1. ประชากรในการศึกษา ศึกษาในครอบครัวผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นอายุน้อยกว่า
20 ปี ที่มาปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตที่ศูนย์สุขวิทยาจิต ระหว่างวันที่
1 มกราคม พ.ศ.2539 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2539
2. เครื่องมือในการศึกษา ได้แก่
- แบบสัมภาษณ์ผู้ปกครองสำหรับ
Axis V แปลจากแบบสัมภาษณ์สำหรับ Axis V โดยได้รับอนุญาติจากองค์การอนามัยโลก
เนื้อหาครอบคลุมปัจจัยทางจิตสังคม 9 ด้าน
- คู่มือการวินิจฉัยปัจจัยทางจิตสังคม
เป็นคู่มือในการวินิจฉัยประกอบแบบสัมภาษณ์ว่าปัญหาทางจิตสังคมของเด็กมีความผิดปกติในด้านใด
- แบบบันทึกอาการผู้ป่วยใหม่
ของศูนย์สุขวิทยาจิต เป็นแบบบันทึกอาการทั้งหมดจำนวน 58 อาการ แบ่งออกเป็น
กลุ่มอาการทางกาย กลุ่มอาการทางภาษา กลุ่มอาการทำเป็นนิสัย กลุ่มอาการทางเพศ
กลุ่มอาการทางสังคม กลุ่มอาการทางการเรียน กลุ่มอาการทางอารมณ์ และกลุ่มอาการอื่นๆ
เช่น อาการหลงผิด ควบคุมตนเองไม่ได้ เป็นต้น
3. การวิเคราะห์ทางสถิติ แสดงความถี่ของปัญหาทางจิตสังคมแต่ละปัจจัยโดยใช้ค่าร้อยละ
เปรียบเทียบความแตกต่างของปัญหาทางจิตสังคมในแต่ละช่วงวัย และแต่ละระดับเชาวน์ปัญญาของเด็กโดยการวิเคราะห์การผันแปร
(analysis of variance) ศึกษาความสัมพันธ์ของความผิดปกติของปัจจัยทางจิตสังคมกับแต่ละกลุ่มอาการของเด็กโดยการวิเคราะห์ถดถอยพหุแบบปกติ
(multiple regression analysis)
ผลการศึกษา
จากจำนวนผู้ป่วยเด็กที่เข้าสู่การวิจัย
365 ราย เป็นเพศชาย (ร้อยละ 63.3) มากกว่าเพศหญิง อายุเฉลี่ย 9.37
ปี ช่วงอายุที่มาพบมากที่สุด คือ 6-12 ปี (ร้อยละ 47.7)
ตารางที่ 1 แสดงถึงความถี่ของความผิดปกติของปัจจัยทางจิตสังคม
ซึ่งที่พบมากที่สุด ได้แก่ การเลี้ยงดูผิดปกติที่ดูแลเอาใจใส่เด็กมากเกินไปร้อยละ
28.0, สถานะภาพพ่อแม่ผิดปกติร้อยละ 22.5, และการเลี้ยงดูที่คาดหวังมากเกินไปร้อยละ
22.0 ตามลำดับ, ส่วนปัจจัยทางจิตสังคมที่ไม่พบความผิดปกติเลยในสังคมไทย
ได้แก่ ความกดดันทางสังคมเนื่องจากการอพยพย้ายถิ่น การถูกสังคมรังเกียจ
เป็นชนกลุ่มน้อย และลักษณะครอบครัวที่แยกโดดเดี่ยว ขาดปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นนอกครอบครัว
การศึกษาความผิดปกติของปัจจัยทางจิตสังคมตามแต่ละช่วงวัย
ได้แก่ วัยก่อนเรียน (0.5-5 ปี) วัยประถม (6-12 ปี) และวัยรุ่น (13-20
ปี) โดยการวิเคราะห์การผันแปร (analysis of variance) ร่วมกับ Scheffe
post-hoc test พบว่ามีอยู่ 4ปัจจัยที่มีระดับความผิดปกติแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญในแต่ละช่วงวัย
ได้แก่ กลุ่มปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัวผิดปกติ กลุ่มปัญหาในเหตุการณ์ชีวิตปัจจุบัน
และกลุ่มปัญหาพ่อแม่มีความบกพร่อง/พิการพบมากในวัยรุ่น ส่วนกลุ่มปัญหาการเลี้ยงดูที่ผิดปกติพบในวัยรุ่นและเด็กวัยประถมมากกว่าเด็กวัยก่อนเรียน
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือกลุ่มวัยรุ่นมีระดับความผิดปกติของปัจจัยทางจิตสังคมทั้ง
4 ด้านนี้มากกว่ากลุ่มวัยอื่น (ตารางที่ 2)
ในแง่ของปัจจัยทางจิตสังคมที่สัมพันธ์กับระดับเชาวน์ปัญญาของเด็กนั้น
พบว่ากลุ่มเด็กที่มีภาวะปัญญาอ่อนมีปัญหาทางจิตสังคม แตกต่างจากกลุ่มเด็กที่มีเชาวน์ปัญญาปกติอย่างมีนัยสำคัญ
ในด้านกลุ่มปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัวผิดปกติ (F=9.17, p<0.003)
และกลุ่มปัญหาการเลี้ยงดูผิดปกติ (F=19.39, p<0.000)
เมื่อศึกษาความสัมพันธ์ของความผิดปกติของปัจจัยทางจิตสังคมกับแต่ละกลุ่มอาการของเด็ก
พบกลุ่มอาการที่มีความสัมพันธ์กับความผิดปกติของปัจจัยทางจิตสังคมอยู่
3 กลุ่มอาการ ได้แก่ กลุ่มอาการทางสังคม กลุ่มอาการทางอารมณ์ และกลุ่มอาการทางการเรียน
ตารางที่ 3 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มอาการทางสังคม
(โกหก ลักขโมย หนีโรงเรียน ก้าวร้าว ฯลฯ) กับความผิดปกติของปัจจัยทางจิตสังคม
ค่าตัวแปรอิสระทั้งหมด (ความผิดปกติของปัจจัยทางจิตสังคม) สามารถอธิบายการผันแปรของตัวแปรตาม
(กลุ่มอาการทางสังคม) ได้ร้อยละ 38.9, ในบรรดาความผิดปกติของภาวะจิตสังคมทั้งหมด
9 กลุ่ม มีอยู่ 4 กลุ่มที่มีผลต่อกลุ่มอาการทางสังคมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ได้แก่ ความสัมพันธ์ในครอบครัวผิดปกติ พ่อแม่มีความบกพร่องพิการ การเลี้ยงดูที่ผิดปกติ
และเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ผิดปกติ
จากตารางที่ 4 ค่าตัวแปรอิสระทั้งหมด
(ความผิดปกติของปัจจัยทางจิตสังคม) สามารถอธิบายการผันแปรของตัวแปรตาม
(กลุ่มอาการทางอารมณ์) ได้ร้อยละ 49.1, ในบรรดาความผิดปกติของภาวะจิตสังคมทั้งหมด
9 กลุ่ม มีอยู่ 6 กลุ่มที่มีผลต่อกลุ่มอาการทางสังคมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ได้แก่ ความสัมพันธ์ในครอบครัวผิดปกติ พ่อแม่มีความบกพร่อง/พิการ การสื่อสารในครอบครัวผิดปกติ
เหตุการณ์ในชีวิตปัจจุบัน ภาวะความเครียดเรื้อรังด้านสัมพันธภาพในโรงเรียน
และภาวะความเครียดที่เกิดเนื่องจากความบกพร่องของตัวเด็กเอง
จากตารางที่ 5 ค่าตัวแปรอิสระทั้งหมด
(ความผิดปกติของปัจจัยทางจิตสังคม) สามารถอธิบายการผันแปรของตัวแปรตาม
(กลุ่มอาการทางการเรียน) ได้ร้อยละ 27, โดยปัจจัยทางจิตสังคมที่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มอาการทางการเรียน
( ผลการเรียนไม่ดี ไม่มีสมาธิ ไม่มีความพยายามทางการเรียน ฯลฯ) ได้แก่
ความสัมพันธ์ในครอบครัวผิดปกติและภาวะความเครียดเรื้อรังด้านสัมพันธภาพในโรงเรียน
วิจารณ์
จากผลการศึกษากลุ่มปัจจัยทางจิตสังคมที่มีความผิดปกติมากที่สุด
ได้แก่ การเลี้ยงดูที่ผิดปกติแบบเอาใจใส่เด็กมากเกินไป รองลงไปเป็นสถานะภาพพ่อแม่ผิดปกติ
และการเลี้ยงดูที่คาดหวังกับเด็กมาก Steinhausen และคณะ12
ศึกษาเด็กจำนวน 1,959 คนที่มารับบริการในคลินิกจิตเวชเด็กของมหาวิทยาลัยซูริค
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พบว่าความผิดปกติของปัจจัยทางจิตสังคมที่พบมากที่สุด
คือ สถานะภาพพ่อแม่ผิดปกติ รองลงไปเป็นความขัดแย้งในครอบครัว และการสื่อสารในครอบครัว
การเลี้ยงดูแบบเอาใจใส่เด็กมากเกินไปพบเป็นอันดับ 5 ปัญหาการเลี้ยงดูแบบคาดหวังมากเกินไปพบน้อยมากเพียงร้อยละ
3.4 จากผลการศึกษาแสดงให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดจากค่านิยมในการดูแลเด็กในสังคมไทย
Mikulus และ Suvannathat13 ได้รวบรวมปัญหาที่เกิดจากลักษณะการเลี้ยงดูแบบเอเซียไว้ในหนังสือ
Handbook of asian child development and child rearing practice ว่าปัญหาที่พบบ่อยในการเลี้ยงดูเด็กแบบวัฒนธรรมเอเซีย
คือ ไม่สามารถแยกหรือยอมรับความแตกต่างของเด็กได้ ทำให้พ่อแม่มีความคาดหวังที่ไม่เหมาะกับความสามารถของเด็ก
โดยเฉพาะความสามารถทางการเรียน ทำให้เด็กเกิดความรู้สึกเปรียบเทียบตัวเองว่าด้อยกว่าเด็กคนอื่น
ทำให้เด็กมีแนวโน้มที่จะก้าวร้าวภายใต้ความรู้สึกกดดัน ปัญหาที่สองคือพ่อแม่มีความสนใจเรื่องสติปัญญาของเด็กมากมุ่งเน้นแต่พัฒนาการด้านสติปัญญา
ขาดความสนใจในการส่งเสริมเด็กในด้านอื่นๆ โดยเฉพาะความเป็นตัวของตัวเอง
การช่วยเหลือตัวเอง ทำให้สังคมไทยมีการดูแลเอาใจใส่ลูกมากเกินไป
ปัจจัยทางจิตสังคมที่ไม่พบความผิดปกติเลย
ได้แก่ ความกดดันจากสังคม จากการอพยพย้ายถิ่น การถูกสังคมรังเกียจ
และลักษณะครอบครัวแยกโดดเดี่ยว ปัญหาการกดดันคนกลุ่มน้อย หรือผู้อพยพยังไม่เป็นปัญหาที่สำคัญในประเทศไทย
ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการยอมรับความแตกต่างของวัฒนธรรมมากกว่าแสดงความรังเกียจ
และเนื่องจากลักษณะประชากรของประเทศไทยมีความแตกต่างทางเชื้อชาติและศาสนาน้อย8
รวมทั้งลักษณะครอบครัวแยกโดดเดี่ยวถึงขนาดไม่มีความสัมพันธ์กับใครเลยพบได้น้อยมาก
ในการศึกษาพบว่าเด็กวัยรุ่นมีความผิดปกติทางจิตสังคมในกลุ่มความสัมพันธ์ในครอบครัวผิดปกติ
พ่อแม่มีความบกพร่องพิการ และมีปัญหาเหตุการณ์ในชีวิตปัจจุบัน. ความบกพร่องพิการของพ่อแม่
ปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัวมักมีปัญหามาระยะยาวนาน แต่มามีผลต่อเด็กในช่วงวัยรุ่น
เนื่องจากเด็กมีความใส่ใจในปัญหาของครอบครัวมากขึ้น เริ่มเปรียบเทียบครอบครัวตนเองกับครอบครัวเพื่อน14
ปัญหาครอบครัวในวัยเด็กทำให้เด็กมีปัญหาด้านจิตใจและการปรับตัวในช่วงวัยรุ่น15
จะเห็นได้ว่าปัญหาหลักในเด็กวัยรุ่นเกิดจากปัญหาในครอบครัว16
มีการศึกษาปัญหาในเด็กวัยรุ่นที่มีพ่อแม่มีปัญหาด้านสุขภาพจิต พบว่าปัญหาหลักของเด็กเกิดจากความขัดแย้งกับพ่อแม่18
ส่วนเหตุการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้นและมีผลต่อเด็กวัยรุ่นมาก จะเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เด็กสูญเสียความภาคภูมิใจในตนเอง
ทั้งยังเพิ่มอัตราเสี่ยงการเกิดปัญหาพฤติกรรมอื่นๆ เช่น ก้าวร้าว อันธพาล
ใช้สารเสพย์ติด รวมทั้งการฆ่าตัวตาย15
เป็นที่ทราบกันดีว่าระดับสติปัญญามีความสัมพันธ์กับความสามารถในการปรับตัวของเด็ก
เด็กที่มีระดับสติปัญญาสูงจะมีความสามารถในการปรับตัวดีกว่าเด็กที่มีระดับสติปัญญาต่ำ12
ลักษณะของตัวเด็กเองก็มีผลต่อวิธีที่พ่อแม่ปฏิบัติต่อเด็ก จากผลการศึกษาพบว่าเด็กที่มีระดับสติปัญญาต่ำมีความผิดปกติทางจิตสังคมในแง่ความสัมพันธ์ในครอบครัวผิดปกติ
และการเลี้ยงดูที่ผิดปกติ เด็กกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะถูกตำหนิว่ากล่าวเนื่องมาจากลักษณะปัญหาจากความล่าช้าในพัฒนาการของตัวเด็กเอง18,19
เป็นการแสดงความรุนแรงเฉพาะกับเด็ก ในทางตรงข้ามเราพบว่าพ่อแม่อีกกลุ่มหนึ่งยอมรับในความบกพร่องของเด็กและให้ความช่วยเหลือเด็กอย่างไม่เหมาะสมทำให้เด็กกลุ่มนี้มีปัญหาล่าช้ามากยิ่งขึ้น
เนื่องจากการดูแลเอาใจใส่เด็กอย่างไม่เหมาะกับอายุ18,19
Shah20 ได้เสนอการป้องกันปัญหาพัฒนาการล่าช้าและภาวะปัญญาอ่อน
โดยผสมผสานในงานสาธารณสุขมูลฐาน ด้วยการดึงเอาครอบครัวเข้ามามีส่วนร่วม
โดยเน้นในการที่ครอบครัวเข้าใจระดับความสามารถของเด็ก สามารถให้การกระตุ้นพัฒนาการที่เหมาะสม
ซึ่งต้องการการประเมินลักษณะของครอบครัวและปฏิกริยาที่ครอบครัวมีต่อเด็ก
เมื่อดูตามกลุ่มอาการที่สัมพันธ์กับความผิดปกติของปัจจัยทางจิตสังคม
ในกลุ่มอาการทางอารมณ์มีความสัมพันธ์กับความสัมพันธ์ในครอบครัวผิดปกติ
พ่อแม่มีความบกพร่องพิการ การสื่อสารในครอบครัวผิดปกติ เหตุการณ์ในชีวิตปัจจุบัน
ภาวะความเครียดเรื้อรังด้านสัมพันธภาพในโรงเรียน ภาวะความเครียดที่เกิดจากความบกพร่องของตัวเด็กเอง
ลักษณะของพ่อแม่ที่ขาดความอบอุ่น ล้มเหลวในการทำหน้าที่ของครอบครัว
ทำให้เด็กเกิดปัญหาทางอารมณ์21,22 Jenkins และคณะ23,24
ได้ศึกษาปัจจัยที่ปกป้องเด็กไม่ให้เกิดปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรมในเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่ไม่สงบสุข
พบว่าความขัดแย้งในครอบครัวเป็นเหตุสำคัญทำให้เด็กมีปัญหาทางอารมณ์
และความสัมพันธ์ที่ดีของเด็กกับพ่อหรือแม่จะช่วยปกป้องเด็กจากปัญหาได้
นอกจากนี้การมีประสบการณ์ที่ดีในโรงเรียน การได้รับการยอมรับในตัวเด็กก็เป็นปัจจัยปกป้องที่สำคัญ
ดังนั้นเด็กที่มีปัญหาความสัมพันธ์ในโรงเรียนไม่ว่ากับเพื่อนหรือครูจึงมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาทางอารมณ์ได้มาก
รวมทั้งการที่ตัวเด็กเองมีความบกพร่องมีผลต่อความสามารถของเด็กและการได้รับการยอมรับจากกลุ่มก็ส่งผลให้เด็กกลุ่มนี้มีปัญหาทางอารมณ์ได้สูง
โดยเฉพาะในเด็กวัยรุ่นที่ให้ความสำคัญกับเรื่องภาพลักษณ์ของตนเอง Williamson
และคณะ14 ได้ศึกษาเด็กวัยรุ่นที่มีปัญหาด้านอารมณ์เศร้า
พบว่าเด็กกลุ่มนี้มีปัญหาความเครียดจากเหตุการณ์ที่มีความสัมพันธ์กับปัญหาพฤติกรรมของตนเอง
เหตุการณ์ที่มีความสัมพันธ์กับปัญหาเด็ก เช่น ขัดแย้งกับพ่อแม่ ผลการเรียนไม่ดี
ต้องออกจากโรงเรียน พ่อแม่มีความขัดแย้งกันเองมากขึ้น ต้องเลิกกับเพื่อนสนิท
เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบเหตุการณ์ที่มีความสัมพันธ์กับปัญหาทางอารมณ์ของเด็กที่ไม่ได้เป็นผลจากพฤติกรรมของตัวเด็กเอง
เช่น การเจ็บป่วยที่รุนแรงของพ่อแม่หรือพี่น้อง การถูกทารุณกรรมทางร่างกาย
หรือทางเพศ การหย่าร้างแยกทางกันของพ่อแม่ การตกงาน การเปลี่ยนงานของพ่อที่ทำให้พ่อมีความใกล้ชิดกับเด็กน้อยลง
การติดคุกของพ่อแม่ เป็นต้น
ในกลุ่มอาการทางสังคม ได้แก่
เด็กที่มาด้วยอาการโกหก ขโมย หนีออกจากบ้าน หนีโรงเรียน ก้าวร้าว ทำลายข้าวของ
พูดหยาบ โกรธโมโห ทำร้ายตัวเอง ทำร้ายผู้อื่น เด็กกลุ่มนี้จะมีปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัวผิดปกติ
พ่อแม่มีความบกพร่องพิการ การเลี้ยงดูที่ผิดปกติ และเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ผิดปกติ
ลักษณะของครอบครัวที่ส่งเสริมให้เด็กมีปัญหาเรื่องก้าวร้าว คือ ครอบครัวที่ใช้ความรุนแรงกับเด็ก
ครอบครัวที่ทารุณกรรมเด็ก ครอบครัวที่พ่อแม่มีการเจ็บป่วยทางจิต ติดสุรา
และครอบครัวที่มีความเข้มงวดมีการลงโทษรุนแรง25,26 Remschmidt
และคณะ20,27,28 ได้รวบรวมปัจจัยเสี่ยงทางจิตสังคมในเด็กที่มีปัญหาพฤติกรรมอันธพาล
ได้แก่ เด็กที่เกิดจากการตั้งครรภ์นอกสมรส เด็กที่เติบโตในสถาบัน เด็กที่เปลี่ยนที่เลี้ยงดูมากกว่า
4 แห่งในวัยเด็ก เด็กที่ถูกเลี้ยงดูโดยสถานะภาพของพ่อแม่ไม่ปกติ การเจ็บป่วยทางจิต
ติดสุราของพ่อแม่ ครอบครัวยากจน29 เด็กที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวมีแนวโน้มที่จะก้าวร้าวในวัยรุ่น
เด็กที่ก้าวร้าวในวัยเด็กและวัยรุ่นโดยเฉพาะในเด็กชายก็จะมีปัญหาเรื่องก้าวร้าวต่อไปรวมทั้งมีปัญหาพฤติกรรมเรื่องอื่นๆ
เช่น ติดสารเสพติด ติดสุรา เป็นอาชญากร30,31 เป็นที่น่าสนใจว่าปัญหาความก้าวร้าวมีความสัมพันธ์กับปัจจัยทางจิตสังคมบางอย่างที่น่าจะแก้ไขได้
เพื่อป้องกันปัญหาความก้าวร้าวและปัญหาพฤติกรรมอื่นๆ สัมพันธภาพภายในครอบครัวระหว่างพ่อแม่ลูกมีผลต่อพฤติกรรมทางสังคมของเด็ก
พ่อแม่ที่ได้รับการฝึกให้สามารถสร้างพฤติกรรมทางสังคมที่เหมาะสมในขณะเดียวกันก็สามารถควบคุมดูแลพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้จะสามารถป้องกันปัญหาได้30,31
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลเช่นเดียวกัน เช่น การป่วยของพ่อแม่
ปัญหาสุขภาพจิตของพ่อแม่ ความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกันของพ่อแม่ มีผลต่อพฤติกรรมของเด็กและมีผลต่อความร่วมมือในการฝึกพ่อแม่ด้วย
ความขัดแย้งกันของพ่อแม่ การทะเลาะเบาะแว้งรวมทั้งการใช้ความรุนแรงต่อกันทั้งทางภาษาและทางร่างกายมีผลต่อปัญหาพฤติกรรมในเด็ก15
เป็นที่น่าสนใจว่าภายใต้ค่านิยมทางสังคมที่มุ่งเน้นการเร่งรัดการศึกษาในเด็ก
ทำให้เด็กถูกนำมาปรึกษาด้วยปัญหาการเรียนจำนวนมากในเด็กที่มาด้วยปัญหาการเรียนมีความสัมพันธ์กับปัจจัยทางจิตสังคมที่ผิดปกติ
คือ ความสัมพันธ์ในครอบครัวผิดปกติ ภาวะความเครียดเรื้อรังด้านสัมพันธภาพในโรงเรียน
ผลของปัจจัยทางจิตสังคมที่มีต่อความสามารถทางการเรียนเป็นทั้งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถทางความคิด
และผลทางอ้อมที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในภาพลักษณ์ของตน แรงจูงใจและทัศนคติที่มีต่อการเรียน
และสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น32 มีการศึกษาที่แสดงว่าการใช้ความรุนแรงของพ่อแม่ต่อเด็กมีผลต่อความสามารถทางภาษาของเด็ก
และความขัดแย้งในครอบครัวของพ่อแม่ทำให้เด็กมีความเสี่ยงที่จะมีปัญหาด้านอารมณ์และสังคม
อันนำไปสู่ปัญหาการปรับตัวทางการเรียนของเด็ก เชื่อว่าผลของครอบครัวที่มีต่อเด็กเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนวัยเรียน
แต่เนื่องจากการวัดความสามารถทางการเรียนยังไม่ชัดเจน จึงดูเหมือนว่าไม่มีปัญหา
เมื่อเด็กเข้าสู่วัยเรียนจะเห็นปัญหาชัดเจนขึ้น และเช่นเดียวกันถ้าครอบครัวมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
จะพบว่าเด็กกลุ่มนี้ปรับตัวทางการเรียนดีขึ้นตามไปด้วย ปัจจัยทางจิตสังคมอันที่สองที่สัมพันธ์กับปัญหาการเรียน
คือ ภาวะความเครียดเรื้อรังด้านสัมพันธภาพในโรงเรียน ซึ่งอาจเป็นปัญหาความสัมพันธ์ระหว่าครูกับเด็ก
หรือเพื่อนกับเด็ก จะเห็นได้ว่าปัญหาความสัมพันธ์ของเด็กกับคนอื่นในโรงเรียนอาจเกิดจากปัญหาความสัมพันธ์โดยตรงเนื่องมาจากลักษณะแวดล้อมในโรงเรียนและเพื่อน
หรือเป็นผลจากปัญหาทางอารมณ์และสังคมของเด็กที่เนื่องมาจากปัญหาสัมพันธภาพภายในครอบครัวไม่ดี
ทำให้เด็กมีปัญหาเรื่องสัมพันธภาพกับคนอื่นนอกครอบครัว และปัญหาทั้งสองส่งเสริมกันให้เด็กมีปัญหาทางการเรียนเกิดขึ้น33
ข้อเสนอแนะ
การจัดเก็บข้อมูลทางจิตเวชเด็กให้มีความสมบูรณ์เป็นเรื่องยาก34
โดยเฉพาะการใช้แบบบันทึกทางคอมพิวเตอร์ แบบบันทึกควรจะสามารถบอกทั้งการวินิจฉัยและแนวทางในการรักษา
ซึ่งปัจจัยที่จะเข้ามามีบทบาทตรงนี้ คือ ปัจจัยทางจิตสังคม เป็นที่ยอมรับว่าการเติบโตในครอบครัว
ลักษณะของครอบครัว เหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในวัยเด็กโดยเฉพาะก่อนอายุ
17 ปี มีผลต่อพัฒนาการทางบุคลิกภาพของเด็ก และส่งผลต่อการเกิดปัญหาทางจิตเวชในระยะเวลาต่อมา5,35,36,37,38
ทั้งองค์การอนามัยโลก และสมาคมจิตแพทย์อเมริกันได้พยายามปรับปรุงการวินิจฉัยปัจจัยทางจิตสังคมกระทำมาอย่างต่อเนื่อง
ปัญหาความเชื่อถือได้ของการบันทึกข้อมูลในด้านนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ
การกำหนดให้ปัจจัยทางจิตสังคมเป็นด้านหนึ่งในการวินิจฉัยโรค เพื่อให้มั่นใจว่าแพทย์ผู้ดูแลได้มีการพิจารณาปัจจัยนี้และได้บันทึกข้อมูลนี้แล้ว
เมื่อพิจารณาปัจจัยทางจิตสังคมจะเห็นได้ว่ามีเป็นจำนวนมาก แต่รวบรวมมาเป็นการวินิจฉัยเฉพาะปัจจัยทางจิตสังคมที่มีความหมายทางคลินิกและมีการศึกษาสนับสนุน4
ดังนั้นยังคงมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในอนาคต เมื่อมีการวิจัยในแง่ความกดดันทางจิตสังคมกับโรคทางจิตเวชออกมาสนับสนุนหรือคัดค้านปัจจัยทางจิตสังคมบางประการ
Goor-Lambo39 ได้ศึกษาความน่าเชื่อถือของการวินิจฉัยปัจจัยทางจิตสังคม
Axis V abnormal psychosocial situations ฉบับปรับปรุงใหม่ พบว่าข้อที่ยังมีปัญหา
คือ inadequate or distorted intra-familial communication เพราะการวินิจฉัยจำเป็นต้องอาศัยการสังเกตลักษณะการสื่อสารของครอบครัวในสถาณการณ์จริง
ทำให้การวินิจฉัยในหัวข้อนี้อยู่ในเกณฑ์ต่ำ เช่นเดียวกับในการศึกษานี้ที่มีการวินิจฉัยหัวข้อนี้เพียงร้อยละ
11.5
แบบบันทึกนี้สามารถใช้ในคลินิกและมีความเชื่อถือได้40
มีประโยชน์ทั้งในทางคลินิก และในการเฝ้าระวังปัญหาทางสุขภาพจิตในเด็ก
วัยรุ่น และครอบครัว รวมทั้งการวางแผนการป้องกันปัญหาทางสุขภาพจิตที่จะเกิดขึ้น
การเฝ้าระวังปัญหาจะทำได้ดีขึ้นหากสามารถประยุกต์แบบบันทึกเข้าสู่การทำงานของงานสาธารณสุขทั่วไป
พบว่าจะมีการรายงานหรือให้ความสนใจปัญหาทางจิตสังคมในเด็กที่มารับบริการในโรงพยาบาลทั่วไปมากขึ้นถ้าแพทย์ผู้ดูแลเด็กมีแบบในการบันทึก41
จากเดิมที่แพทย์จะให้ความสนใจเมื่อปัญหาทางจิตสังคมนั้นรุนแรงมาก
สรุป
ผลการศึกษาผู้ป่วยใหม่เด็กและวัยรุ่นจำนวน
365 รายที่มารับบริการที่แผนกผู้ป่วยนอกศูนย์สุขวิทยาจิต ปัจจัยทางจิตสังคมที่ผิดปกติมากที่สุด
3 ลำดับ คือ การเลี้ยงดูที่เอาใจใส่เด็กมากเกินไปร้อยละ 28 สถานะภาพพ่อแม่ผิดปกติร้อยละ
22.5 และการเลี้ยงดูที่คาดหวังมากร้อยละ 22.0 ส่วนความผิดปกติของปัจจัยทางจิตสังคมที่ไม่พบเลยในการศึกษานี้
ได้แก่ ความกดดันจากสังคมเนื่องจากการอพยพย้ายถิ่น การถูกสังคมรังเกียจเนื่องจากเป็นชนกลุ่มน้อย
และลักษณะครอบครัวที่แยกโดดเดี่ยว ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นนอกครอบครัว
เมื่อวิเคราะห์ปัจจัยทางจิตสังคมที่มีความสัมพันธ์กับปัจจัยอื่นอย่างมีนัยสำคัญ
พบว่าปัจจัยทางจิตสังคมที่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มอายุ ได้แก่ ความสัมพันธ์ในครอบครัวผิดปกติ
พ่อแม่มีความบกพร่อง/พิการ การเลี้ยงดูที่ผิดปกติ โดยพบบ่อยในเด็กวัยรุ่น
อายุ 13-20 ปี และการเลี้ยงดูที่ผิดปกติสัมพันธ์กับเด็กวัยเรียน อายุ
6-12 ปี ส่วนปัจจัยทางจิตสังคมที่สัมพันธ์กับเด็กที่มีปัญหาระดับสติปัญญา
ได้แก่ ความสัมพันธ์ในครอบครัวผิดปกติ และการเลี้ยงดูที่ผิดปกติ
ปัจจัยทางจิตสังคมที่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มอาการทางอารมณ์
ได้แก่ ความสัมพันธ์ในครอบครัวผิดปกติ พ่อแม่มีความบกพร่อง/พิการ การสื่อสารในครอบครัวผิดปกติ
เหตุการณ์ในชีวิตปัจจุบัน ภาวะความเครียดเรื้อรังด้านสัมพันธภาพในโรงเรียน
ภาวะความเครียดที่เกิดจากความบกพร่องของตัวเด็กเอง ความผิดปกติของปัจจัยทางจิตสังคมที่สัมพันธ์กับกลุ่มอาการทางสังคม
ได้แก่ ความสัมพันธ์ในครอบครัวผิดปกติ พ่อแม่มีความบกพร่อง/พิการ การเลี้ยงดูที่ผิดปกติ
เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ผิดปกติ ปัจจัยทางจิตสังคมที่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มอาการทางการเรียน
ได้แก่ ความสัมพันธ์ในครอบครัวผิดปกติ และความเครียดเรื้อรังด้านสัมพันธภาพในโรงเรียน
กิตติกรรมประกาศ
งานวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากทุนมูลนิธิฝน
แสงสิงแก้ว ประจำปีพ.ศ.2538
เอกสารอ้างอิง
- Mezzich JE. On developing
a psychiatric multiaxial schema for ICD-10. Br J Psychiatry 1988;
152(Suppl1): 38-43.
- van Goor-Lambo G, Orley
J, Poustka F, Rutter M. Classification of abnormal psychosocial
situations: preliminary report of a revision of a WHO scheme.
J Child Psychol Psychiatry 1990; 31: 229-41.
- World Health Organization.
Multiaxial classification of child and adolescent psychiatric
disorders. Cambridge: Cambridge University Press, 1996.
- Rey JM, Stewart GW, Lapp
JM, Bashir MR, Richards IN. DSM-III axis IV revisited. Am J Psychiatry
1988; 145: 286-92.
- Gaensbauer T, Chatoor I,
Drell M, Siegel D, Zeanah CH. Traumatic loss in a one-year-old
girl. J Am Acad Child Adolesc Psychiatry 1995; 34: 520-8.
- Dunn J. Family influences.
In: Rutter M, Hay DF, eds. Development through life. Great Britain,
Bath Press, 1994: 112-33.
- สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานเยาวชนแห่งชาติ.
ตัวบ่งชี้การพัฒนาเด็กและเยาวชนในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์กรสงเคราะห์ทหารผ่านศึก,
2537: 203-53.
- สุธีรา ธอมสัน, เมทินี พงษ์เวช.
ผู้หญิงไทย: สถานภาพและบทบาทที่เปลี่ยนแปลง. กรุงเทพฯ: สถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา,
2538.
- ศิริพร สุวรรณทศ. รายงานการวิจัยการประเมินสภาวะทางสังคมจิตใจของคนไข้ที่มีปัญหาทางอารมณ์.
ศูนย์สุขวิทยาจิต, 2533.
- อินทิรา พัวสกุล, พนมศรี
เสาร์สาร. สภาพชีวิตของเด็กยุคไฮเทคที่มารับบริการที่โรงพยาบาลประสาทเชียงใหม่.
วารสารกรมการแพทย์ 1992; 17: 653-9.
- World Health Organization.
ICD-10 classification of mental and behavioural disorders. Geneva:
World Health Organization, 1992.
- Steinhausen HC, Erdin A.
Abnormal psychosocial situations and ICD-10 diagnoses in children
and adolescents attending a psychiatric service. J Child Psychol
Psychiat 1992; 33, 731-40.
- Mikulus WL, Suvannathat
C. Common errors in child rearing practices. In: Suvannathat S,
Bhanthumnavin D, Bhuapirom L, Keats DM, eds. Handbook of asian
child development and child rearing practices. Bangkok: Burapasilpa
Press, 1985: 397-407.
- Williamson DE, Birmaher
B, Anderson BP, Al-Shabbout M, Ryan ND. Stressful life events
in depressed adolescents: the role of dependent events during
the depressive episode. J Am Acad Child Adolesc Psychiatry 1995;
34: 591-8.
- Desjarlais R, Eisenberg
L, Good B, Kleinman A. World mental health : Problem and priorities
in low-income countries. Oxford: Oxford University Press, 1995:
155-78.
- Rae-grant N, Thomas H, Offord
DR,Boyle MH. Risk, protective factors, and the prevalence of behavioral
and emotional disorders in children and adolescents. J Am Acad
Child Adolesc Psychiatry 1989; 28: 262-8.
- Beardslee WR, Bemporad J,
Keller MB, Klerman GL. Children of parents with major affective
disorder: A review. Am J Psychiatry 1983; 140: 825-32.
- Fisman S, Wolf L. The handicapped
child: psychological effects of parental, marital and sibling
relationships. Psychiatr Clin North Am 1991; 14: 199-219.
- Konstantareas MM, Homatidis
S, Effect of developmental disorder on parents. Psychiatr Clin
North Am 1991; 14: 183-99.
- Shah PM. Prevention of mental
handicaps in children in primary health care. Bullentein of the
World Health Organization 1991; 69: 779-89.
- Adams DM, Overholser JC,
Lehnert KL(1994), Perceived family functioning and adolescent
suicidal behavior. J Am Acad Child Adolesc Psychiatry, 33, 4:498-507.
- Messer SC, Beidel DC. Psychosocial
correlates of childhood anxiety disorders. J Am Acad Child Adolesc
Psychiatry 1994; 33: 975-83.
- Jenkins JM, Smith MA, Graham
PJ. Coping with parental quarrels. J Am Acad Child adolesc Psychiatry
1989; 28: 182-89.
- Jenkins JM, Smith MA. Factors
protecting children living in disharmonious homes: maternal reports.
J Am Acad Child Adolesc Psychiatry 1990; 29: 60-9.
- Remschmidt H. Antisocial
disorders,behaviour and deliquency. Curr Opin Psychiatry 1989;
2: 490-6.
- Robins LN. Conduct disorder.
J Child Psychol Psychiatry 1991; 32: 193-212.
- Remschmidt H, Hohner G,
Walter R. Kinderdelinquenz und fruhkriminalitat. Munch Med Wschr
1984; 126: 577-84.
- Remschmidt H. Aggression
and conduct disorder. Curr Opin Psychiatry 1990; 3:457-63.
- Raadal M, Milgrom P, Cauce
AM, Mancl L. Behavior problems in 5- to 11-year-old children from
low-income families. J Am Acad Child Adolesc Psychiatry 1994;
33: 1017-25.
- Lochman JE, Wayland KK.
Aggression, social acceptance, and race as predictors of negative
adolescent outcomes. J Am Acad Child Adolesc Psychiatry 1994;
33: 1026-35.
- Offord DR, Bennett KJ. Conduct
disorder: long-term outcomes and intrevention effectiveness. J
Am Acad Child Adolesc Psychiatry 1994; 33: 1069-78.
- Rutter M. Family and school
influences on cognitive development. J Child Psychol Psychiat
1985; 26: 683-704.
- Rutter M. Family and school
influences on behavioural development. J Child Psychol Psychiat
1985; 26: 349-68.
- Treffers PDA, Goedhart AW,
Waltz JW, Koudijs E. The systematic collection of patient data
in a centre for child and adoleascent psychiatry. Br J Psychiatry
1990; 157: 744-8.
- Barsky AJ, Wool C, Barnette
MC, Cleary PD. Histories of childhood trauma in adult hypochondriacal
patients. Am J Psychiatry 1994; 151: 397-401.
- Fristad MA, Jedel R, Weller
RA, Weller EB. Psychosocial functioning in children after the
death of a parent. Am J Psychiatry 1993; 150: 511-3.
- Greenfield SF, Swartz MS,
Landerman RL, George LK. Long-term psychosocial effects of childhood
exposure to parental problem drinking. Am J Psychiatry 1993; 150:
608-13.
- Richters MM, Volkmar FR.
Reactive attachment disorder of infancy or early childhood. J
Am Acad Child Adolesc Psychiatry 1994; 33: 328-32.
- van Goor-Lambo G. The reliability
of axis V of the multiaxial classification scheme. J. Child Psychol
Psychiat 1987; 24: 597-612.
- Daradkeh TK, Saad A. The
reliability and validity of the proposed axis V (disabilities)
of ICD-10. Br J Psychiatry 1994; 165: 683-5.
- Horwitz SM, Leaf P, Leventhal
JM, Forsyth B, Speechley KN. Identification and management of
psychosocial and developmental problems in community-based, primary
care pediatric practices. Pediatrics 1992; 89: 480-5.
ตารางที่ 1 ความถี่ของปัญหาทางจิตสังคมแต่ละด้าน
ความผิดปกติของภาวะจิตสังคม
|
จำนวน
|
ร้อยละ
|
ความสัมพันธ์ในครอบครัวผิดปกติ |
|
|
ขาดความอบอุ่น
|
|
|
ผู้ใหญ่ภายในครอบครัวมีความขัดแย้ง
|
|
|
การแสดงความรุนแรงเฉพาะกับเด็ก
|
|
|
การทารุณด้านร่างกาย
|
|
|
การทารุณทางเพศภายในครอบครัว
|
|
|
พ่อแม่มีความบกพร่อง
/พิการ |
|
|
พ่อแม่มีความบกพร่องด้านจิตใจ
|
|
|
พ่อแม่มีความบกพร่อง/พิการด้านร่างกาย
|
|
|
การเจ็บป่วยพิการของพี่น้อง
|
|
|
การสื่อสารภายในครอบครัวไม่พอเพียง
หรือผิดปกติ |
|
|
ขาดการสื่อสาร |
|
|
ไม่สามารถสื่อสารให้เข้าใจกัน |
|
|
การเลี้ยงดูที่ผิดปกติ
|
|
|
ดูแลเอาใจใส่เด็กมากเกินไป
|
|
|
ขาดการควบคุมดูแล
|
|
|
เด็กถูกละเลย/ทอดทิ้ง
|
|
|
คาดหวังมากเกินไป |
|
|
เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ผิดปกติ |
|
|
ถูกเลี้ยงดูในสถานสงเคราะห์ |
|
|
สถานะภาพพ่อแม่ผิดปกติ
|
|
|
ครอบครัวแยกโดดเดี่ยว
|
|
|
สภาพความเป็นอยู่ที่กดดันจิตใจ |
|
|
เหตุการณ์ในชีวิตปัจจุบัน
|
|
|
การสูญเสียความสัมพันธ์กับบุคคลที่รัก
|
|
|
ต้องแยกจากครอบครัว |
|
|
ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวเปลี่ยนไปในทางเลวลง
|
|
|
มีเหตุการณ์ที่ทำให้เด็กสูญเสียความภาคภูมิใจในตัวเอง
|
|
|
การทารุณทางเพศ
(ภายนอกครอบครัว) |
|
|
การประสบเหตุการณ์ที่น่าตระหนก
|
|
|
ความกดดันจากสังคม
|
|
|
การอพยพย้ายถิ่น |
|
|
ถูกสังคมรังเกียจ |
|
|
ภาวะความเครียดเรื้อรังด้านสัมพันธภาพในโรงเรียน/ที่ทำงาน
|
มีปัญหาความสัมพันธ์กับกลุ่มเพื่อน
|
|
|
ครู/หัวหน้างานไม่พอใจเฉพาะเด็ก
|
|
|
มีความไม่สงบเกิดขึ้นในโรงเรียน/ที่ทำงาน
|
|
|
ภาวะความเครียดที่เกิดเนื่องจากความบกพร่องของตัวเด็กเอง |
การถูกเลี้ยงดูในสถานสงเคราะห์ |
|
|
การแยกจากครอบครัว |
|
|
มีเหตุการณ์ที่ทำให้สูญเสีย
ความภาคภูมิใจในตัวเอง |
|
|
|
|
|
ตารางที่
2 ความผิดปกติของกลุ่มภาวะจิตสังคมที่มีความสัมพันธ์กับอายุของผู้ป่วย
ความผิดปกติของภาวะจิตสังคม
|
ช่วงอายุ (ปี)
|
P
|
|
0-5 |
6-12 |
13-20 |
|
กลุ่มความสัมพันธ์ในครอบครัวผิดปกติ |
.05 |
.09 |
.13* |
<0.0004
|
กลุ่มมีปัญหาเหตุการณ์ในชีวิตปัจจุบัน |
.01 |
.02 |
.04* |
<0.001
|
กลุ่มพ่อแม่มีความบกพร่อง
/พิการ |
.02 |
.02 |
.05* |
<0.025
|
กลุ่มการเลี้ยงดูที่ผิดปกติ |
.09 |
.15* |
.16* |
<0.001
|
|
|
|
|
|
ตารางที่ 3 ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มอาการทางสังคมกับความผิดปกติของภาวะจิตสังคม
ความผิดปกติของภาวะจิตสังคม
|
ค่าสัมประสิทธิ์ถดถอย
|
T
|
Sig T
|
ความสัมพันธ์ในครอบครัวผิดปกติ |
.342
|
3.104
|
.002
|
พ่อแม่มีความบกพร่อง
/พิการ |
.339
|
2.301
|
.022
|
การเลี้ยงดูที่ผิดปกติ |
.201
|
1.860
|
.064
|
เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ผิดปกติ |
.440
|
3.044
|
.003
|
ค่าคงที่ |
.057
|
2.816
|
.005
|
multiple R = 0.389 , standard
error = 0.247, F = 7.919, Sig of F = .0000
ตารางที่ 4 ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มอาการทางอารมณ์กับความผิดปกติของภาวะจิตสังคม
ความผิดปกติของภาวะจิตสังคม
|
ค่าสัมประสิทธิ์ถดถอย
|
T
|
Sig T
|
ความสัมพันธ์ในครอบครัวผิดปกติ |
.288
|
2.689
|
.008
|
พ่อแม่มีความบกพร่อง
/พิการ |
.340
|
2.371
|
.018
|
การสื่อสารในครอบครัวผิดปกติ |
.165
|
1.992
|
.047
|
เหตุการณ์ในชีวิตปัจจุบัน
|
.427
|
2.031
|
.043
|
ภาวะความเครียดเรื้อรังด้านสัมพันธภาพในโรงเรียน/ที่ทำงาน
|
.728
|
5.112
|
.000
|
ภาวะความเครียดที่เกิดเนื่องจากความบกพร่องของตัวเด็กเอง |
.520
|
1.996
|
.047
|
ค่าคงที่ |
.121
|
6.122
|
.000
|
multiple R = 0.491 , standard
error = 0.240, F = 14.161, Sig of F = .0000
ตารางที่
5 ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มอาการทางการเรียนกับความผิดปกติของภาวะจิตสังคม
ความผิดปกติของภาวะจิตสังคม
|
ค่าสัมประสิทธิ์ถดถอย
|
T
|
Sig T
|
ความสัมพันธ์ในครอบครัวผิดปกติ |
.383
|
3.006
|
.003
|
ภาวะความเครียดเรื้อรังด้านสัมพันธภาพในโรงเรียน/ที่ทำงาน
|
.438
|
2.585
|
.010
|
ค่าคงที่ |
.199
|
8.467
|
.000
|
multiple R = .027, standard
error = 0.286, F = 3.490, Sig of F = .0007
|