คำสำคัญ : ปัญหาสุขภาพจิต,
กรุงเทพมหานคร, GHQ ฉบับภาษาไทย
บทนำ
งานส่งเสริมสุขภาพจิตและการป้องกันปัญหาสุขภาพจิต
เป็นงานทางสาธารณสุขที่มีความสำคัญมากอย่างหนึ่ง เนื่องจากปัญหาสุขภาพจิตเป็นปัญหาสาธารณสุขที่พบได้บ่อยในชุมชน
จากการสำรวจสภาวะสุขภาพจิตของประชากรในชุมชนต่างๆ ในประเทศไทยที่ผ่านมาพบว่า
มีความชุกของปัญหาสุขภาพจิตสูงถึงร้อยละ
19 ถึงร้อยละ 30 1-4
ในการวางแผนงานส่งเสริมสุขภาพจิตและป้องกันความผิดปกติทางจิตเวช
เราจำเป็นต้องมีข้อมูลทางระบาดวิทยาของปัญหาสุขภาพจิต และมีความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆที่มีความสัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพจิต
เพราะจะช่วยให้สามารถวางแผนงานได้โดยสอดคล้องกับความเป็นจริง และดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การศึกษาด้านระบาดวิทยาทางจิตเวช และการศึกษาถึงปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อสภาวะสุขภาพจิตของประชากร
จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนางานด้านสุขภาพจิตในประเทศไทย
จากการศึกษาที่ใช้แบบสอบถาม
GHQ เป็นเครื่องมือในการสำรวจสภาวะสุขภาพจิตที่ผ่านมา พบว่าปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อคะแนน
GHQ ได้แก่ เพศุ6-10 อายุ7,9-11 สถานภาพสมรส6-12
การแบ่งชั้นทางสังคม6,7,9-11การมีงานทำ6,9-11
ความแตกต่างระหว่างเมืองกับชนบท11,13 การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่สมรส7
การเจ็บป่วยทางกาย9, 14,15 และบุคลิกภาพ16 การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาว่าปัจจัยต่างๆ
ทั้งลักษณะทางประชากร และปัจจัยด้านอื่นๆ โดยเฉพาะปัจจัยด้านจิตสังคมต่างๆ
เช่น ความสัมพันธ์ในครอบครัว ประวัติครอบครัวในวัยเด็ก การใช้เหล้าและบุหรี่
ปัญหาสุขภาพ และเหตุการณ์ต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตในทางลบ เช่นการสูญเสีย
การมีบุคคลในครอบครัวป่วย การตกงาน จะมีผลกระทบหรือมีความสัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพจิตของประชากรในเขตหนองจอก
กรุงเทพมหานครอย่างไรบ้าง
วัสดุและวิธีการ
กลุ่มตัวอย่างที่ทำการศึกษาได้มาจากการสุ่มตัวอย่างโดยวิธี
multi stage random sampling จากประชากรที่อายุมากกว่า 20 ปี ในเขตหนองจอก
กรุงเทพมหานคร โดยเริ่มจากการสุ่มเลือกหมู่บ้านจากตำบลต่างๆทั้ง 8
ตำบลในเขตหนองจอกมาตำบลละ 2 หมู่บ้านก่อน แล้วสุ่มเลือกกลุ่มประชากรที่จะทำการศึกษาจากบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมา
1 ใน 6 ของประชากรในแต่ละหมู่บ้าน ได้กลุ่มตัวอย่างรวม 1,356 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือแบบสอบถามเพื่อสำรวจสภาวะสุขภาพจิต
ซึ่งประกอบด้วยคำถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลต่างๆ และข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพจิต
เช่น ความสัมพันธ์ในครอบครัว ประวัติครอบครัวในวัยเด็ก การใช้เหล้าและบุหรี่
ปัญหาสุขภาพ เหตุการณ์ชีวิตในช่วง1ปีที่ผ่านมา และปัญหาด้านจิตสังคม
และแบบคัดกรองปัญหาสุขภาพจิต GHQ-60 ฉบับภาษาไทย17
วิธีการศึกษาเป็นการศึกษาแบบ
cross-sectional โดยให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขตำบลส่งแบบสอบถามสำรวจสภาวะสุขภาพจิตให้กลุ่มตัวอย่างที่คัดเลือกมาแล้วตอบ
จากแบบสอบถามที่ส่งไปทั้งหมดมีผู้ตอบกลับมา 924 ราย หรือร้อยละ 68.1
จากจำนวนนี้มีแบบสอบถามที่มีข้อมูลครบถ้วนพอที่จะทำการศึกษาได้รวม
826 ราย หรือร้อยละ 60.9 ของจำนวนแบบสอบถามที่ส่งไป
การวิเคราะห์ข้อมูลทำโดยใช้โปรแกรมสถิติ
SPSS วิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะประชากร และปัจจัยด้านจิตสังคม
กับปัญหาสุขภาพจิต โดยทำการวิเคราะห์ 2 ขั้นคือ ขั้นแรกใช้การทดสอบไคสแควร์หาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยแต่ละตัวกับปัญหาสุขภาพจิตก่อน
แล้วจึงนำปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพจิตอย่างมีนัยสำคัญจากการทดสอบไคสแควร
และปัจจัยพื้นฐานที่มีความสำคัญเช่นเพศและอายุ มาเข้าสมการทำการวิเคราะห์โดยวิธี
multi logistic regression เพื่อหาปัจจัยที่มีผลต่อปัญหาสุขภาพจิตมากที่สุดและหาค่า
odd ratios
ผลการศึกษา
ผลการศึกษาพบว่ามีความชุกของปัญหาสุขภาพจิตในช่วง
1 เดือนรวมร้อยละ 19.1 โดยประชากรชายมีความชุกของปัญหาสุขภาพจิตคิดเป็นร้อยละ
17.7 และประชากรหญิงมีความชุกของปัญหาสุขภาพจิตคิดเป็นร้อยละ 20.2
จากการทดสอบไคสแควร์ พบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพจิตอย่างมีนัยสำคัญได้แก่
อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ ความสัมพันธ์ในครอบครัว
เหตุการณ์ในช่วง5ปีแรกของชีวิต ปัญหาสุขภาพ การดื่มสุรา เหตุการณ์ชีวิตในช่วง
1 ปีที่ผ่านมา คือ การมีบุคคลในครอบครัวป่วยทางจิต การมีบุคคลในครอบครัวเจ็บป่วยร้ายแรง
การมีบุคคลในครอบครัวเสียชีวิต การตกงาน และปัญหาด้านจิตสังคมต่างๆคือ
ปัญหากับคู่สมรส ปัญหากับสมาชิกในครอบครัว ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหากับเพื่อน
และจำนวนปัญหา หรือเหตุการณ์ต่างๆที่มีผลกระทบทางลบกับชีวิต ตามรายละเอียดในตารางที่
1 ถึงตารางที่ 4
กลุ่มที่พบว่ามีแนวโน้มจะมีปัญหาสุขภาพจิตสูงได้แก่
กลุ่มที่มีอายุสูงกว่า 65 ปีขึ้นไป(39.7%) กลุ่มที่เป็นหม้ายหรือหย่าร้าง(37.9%)
กลุ่มที่มีการศึกษาต่ำกว่าระดับประถมศึกษา(35.6%) กลุ่มว่างงาน(32.5%)
กลุ่มที่ไม่มีรายได้(29.1%)และมีรายได้ต่ำกว่า 2000 บาทต่อเดือน(22.0%)
กลุ่มที่ความสัมพันธ์ในครอบครัวขัดแย้งกันมาก(66.7%)หรือมีลักษณะต่างคนต่างอยู่(44.1%)
กลุ่มที่บิดามารดาหย่าร้างหรือแยกกันอยู่ในช่วง 5 ปีแรกของชีวิต(34.5%)
กลุ่มที่ป่วยเรื้อรัง(63.6%) และกลุ่มที่ป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล(47.8%)
กลุ่มที่ดื่มสุราบ่อย(43.5%) การมีบุคคลในครอบครัวป่วยทางจิต(46.9%)
การมีบุคคลในครอบครัวเจ็บป่วยร้ายแรง(50.8%) การมีบุคคลในครอบครัวเสียชีวิต(29.3%)
การตกงาน(31.3%) การมีปัญหาด้านจิตสังคมต่างๆคือ ปัญหากับคู่สมรส(31.4%)
ปัญหากับสมาชิกในครอบครัว(47.1%) ปัญหาเศรษฐกิจ(28.5%) ปัญหาคดีความ(38.5%)
และปัญหากับเพื่อน(36.0%) และกลุ่มที่มีเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อชีวิตมากกว่า
1 เหตุการณ์ขึ้นไป(48.6%) หรือมีปัญหาด้านจิตสังคมหลายๆด้านพร้อมกัน(36.5-45.7%)
ในการวิเคราะห์โดยใช้ multi
logistic regression มีตัวอย่างที่มีข้อมูลครบทุกข้อที่สามารถนำมาวิเคราะห์ได้รวม
569 ราย ผลการวิเคราะห์ (ตารางที่ 5) ได้ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพจิตรวม
9 ตัวได้แก่ ศาสนา รายได้ ระดับการศึกษา ปัญหาสุขภาพ ปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว
การมีบุคคลในครอบครัวป่วยทางจิต การมีบุคคลในครอบครัวเจ็บป่วยร้ายแรง
ปัญหากับสมาชิกในครอบครัว และปัญหาเกี่ยวกับการทำงานหรือการเรียน โดยปัจจัยที่มี
odd ratio สูงที่สุดได้แก่ ระดับรายได้ ปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว
และการมีบุคคลในครอบครัวเจ็บป่วยร้ายแรงตามลำดับ โดยกลุ่มที่ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ต่ำกว่า
2,000 บาท มีแนวโน้มที่จะมีปัญหาสุขภาพจิตสูงกว่ากลุ่มที่มีรายได้ตั้งแต่
10,000 บาทขึ้นไปถึง 3.67 เท่า ส่วนกลุ่มที่ความสัมพันธ์ในครอบครัวห่างเหินหรือขัดแย้งกันมาก
และกลุ่มที่มีบุคคลในครอบครัวเจ็บป่วยร้ายแรง มีแนวโน้มที่จะมีปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มขึ้นเป็น
2.93 และ 2.47 เท่า ตามลำดับ
ปัจจัยอื่นๆที่มีความสัมพันธ์กับการมีปัญหาสุขภาพจิตสูงรองลงไปได้แก่
ปัญหาสุขภาพ การมีบุคคลในครอบครัวป่วยทางจิต ปัญหาเกี่ยวกับการทำงานหรือการเรียน
การมีปัญหากับสมาชิกในครอบครัว ระดับการศึกษาต่ำ และศาสนาพุทธหรือคริสต์
ตารางที่1: ความชุกของปัญหาสุขภาพจิตแยกตามลักษณะประชากร
และปัญหาด้านจิตสังคม
วิจารณ์
ในการศึกษานี้นอกจากจะศึกษาถึงลักษณะทั่วไปของประชากรแล้วยังได้ศึกษาถึงปัจจัยอื่นๆที่อาจเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพจิต
เช่น ปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว ปัญหาสุขภาพ เหตุการณ์ต่างๆในชีวิต
และปัญหาด้านจิตสังคมอื่นๆ ทำให้สามารถเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของปัจจัยด้านต่างๆ
กับปัญหาสุขภาพจิตได้ดีขึ้น
ผลการศึกษาซึ่งพบว่ากลุ่มที่ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ต่ำ
และมีระดับการศึกษาต่ำมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาสุขภาพจิตสูงนั้นตรงกับผลการศึกษาส่วนใหญ่ก่อนหน้านี้
6,7,9-11,18-22 โดยเฉพาะปัญหาการว่างงานมีผลต่อสุขภาพจิตสูงมาก23,24
ประเด็นที่น่าสนใจมากประการหนึ่งจากการศึกษานี้คือการพบว่ากลุ่มผู้นับถือศาสนาพุทธมีแนวโน้มจะมีปัญหาจิตเวชสูงกว่าผู้นับถือศาสนาอิสลามในชุมชนที่ทำการศึกษา
(OR = 1.471, 95% confidence interval = 1.0576-1.8988) ความแตกต่างด้านเชื้อชาติและวัฒนธรรมเป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งพบว่ามีความสัมพันธ์กับสภาวะสุขภาพจิตจากการศึกษาจำนวนมาก18,19,21,25,26
ผลการศึกษานี้สอดคล้องกับการศึกษาในสิงคโปร์26 ซึ่งพบว่ากลุ่มเชื้อสายมาเลย์ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม
มีอัตราการฆ่าตัวตาย และการพยายามฆ่าตัวตาย ต่ำกว่ากลุ่มเชื้อสายจีนและอินเดียอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามความแตกต่างระหว่างศาสนาอาจเป็นได้ทั้งจากผลของศาสนาโดยตรง
หรือเป็นผลจากปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มศาสนาหรือเชื้อชาติแต่ละกลุ่มในชุมชนนั้นๆ
เช่นฐานะทางเศรษฐกิจสังคมก็ได้ ในการศึกษาครั้งนี้ประเด็นที่พบว่าน่าจะเป็นผลจากศาสนาโดยตรงคือการดื่มสุรา
โดยกลุ่มผู้นับถือศาสนาอิสลามไม่ดื่มเลยถึงร้อยละ 86.7 และดื่มบ่อยๆเพียงร้อยละ
0.7 ในขณะที่กลุ่มนับถือพุทธมีร้อยละ 53.1 ที่ไม่ดื่มเลย และดื่มบ่อยร้อยละ
7.4
นอกจากนั้นน่าจะเป็นผลจากปัจจัยอื่นๆที่เป็นลักษณะที่แตกต่างกันของกลุ่มศาสนาทั้งสองกลุ่มในชุมชนเขตหนองจอก
ปัจจัยต่างๆที่น่าจะเกี่ยวข้องได้แก่ ระดับรายได้ ซึ่งกลุ่มผู้นับถือศาสนาพุทธมีแนวโน้มที่จะมีรายได้ต่ำกว่า
และมีจำนวนผู้ไม่มีรายได้สูงกว่า อีกปัจจัยหนึ่งที่อาจมีผลมากคือการได้รับแรงสนับสนุนทางสังคม
ซึ่งพบว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อสุขภาพจิตมาก27-30 โดยเฉพาะแรงสนับสนุนจากเครือญาติ30
การที่ประชากรส่วนใหญ่ในเขตหนองจอกนับถือศาสนาอิสลาม
ทำให้กลุ่มผู้นับถือศาสนาอิสลามมีโอกาสที่จะมีเครือข่ายทางสังคมในชุมชนที่กว้างขวาง
และมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกว่า ทำให้ได้รับแรงสนันสนุนทางสังคมสูงกว่า
ส่งผลให้มีภาวะสุขภาพจิตที่ดีกว่า นอกจากนี้ยังพบด้วยว่ากลุ่มศาสนาอิสลามมีความสัมพันธ์ในครอบครัวดีกว่า
แม้จะไม่ถึงขั้นที่มีนัยสำคัญทางสถิติก็ตาม
จากการวิเคราะห์โดยใช้ multi
logistic regression ในการศึกษานี้ ไม่พบว่าอายุและสถานภาพสมรสมีผลต่อสภาวะสุขภาพจิตเมื่อวิเคราะห์รวมกับตัวแปรอื่นๆ
ในขณะที่เคยพบว่าเป็นตัวแปรที่มีความสำคัญเมื่อวิเคราะห์เฉพาะตัวแปรด้านลักษณะประชากร1
แสดงว่าตัวอายุและสถานภาพสมรสเองอาจไม่ได้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับปัญหาสุขภาพจิต
แต่เป็นผลจากปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่นปัญหาสุขภาพ ระดับเศรษฐฐานะ
และระดับการศึกษาในกลุ่มสูงอายุ โดยพบว่ากลุ่มที่อายุมากกว่า 65 ปีจะมีปัญหาสุขภาพสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ
(69.4%) และมีรายได้และระดับการศึกษาต่ำกว่ากลุ่มอื่นๆ
ส่วนด้านสถานภาพสมรส พบว่ากลุ่มที่เป็นหม้าย
(คู่ครองเสียชีวิต) จะเป็นกลุ่มที่มีอายุสูงกว่ากลุ่มอื่น มีรายได้และระดับการศึกษาต่ำกว่ากลุ่มอื่น
มีปัญหาสุขภาพสูง ความสัมพันธ์ในครอบครัวมีปัญหามากกว่า และมีเหตุการณ์ด้านลบหรือปัญหาจิตสังคมสูงกว่า
เช่นมีถึงร้อยละ 38.2 ที่มีบุคคลในครอบครัวเสียชีวิตในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
ส่วนกลุ่มที่หย่าร้าง ไม่พบว่ามีความแตกต่างจากกลุ่มโสดและแต่งงานในด้านอายุ
และระดับเศรษฐฐานะ แต่มีความรู้สึกว่าตนขัดสนมากกว่า และมีเหตุการณ์ด้านลบในชีวิต
และปัญหาจิตสังคมต่างๆ
สูงกว่ากลุ่มอื่นๆทุกกลุ่ม เช่นร้อยละ
53.3 เพิ่งมีการหย่าร้างในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ร้อยละ 33.3 มีปัญหากับคนในครอบครัว
ร้อยละ 46.7 มีปัญหาจากการทำงานหรือการเรียน และร้อยละ 26.7 มีปัญหากับเพื่อนฝูง
ปัจจัยอื่นๆที่พบว่ามีความสัมพันธ์กับสภาวะสุขภาพจิตในการศึกษานี้คือ
การมีปัญหาสุขภาพ ความสัมพันธ์ในครอบครัว เหตุการณ์ด้านลบในชีวิต และปัญหาจิตสังคม
ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาต่างๆที่ผ่านมาส่วนใหญ่
ลักษณะความสัมพันธ์ในครอบครัวที่พบว่าเป็นปัญหาในการศึกษานี้คือความสัมพันธ์ที่มีลักษณะต่างคนต่างอยู่
และการมีความขัดแย้งกันในครอบครัวมาก แต่เนื่องจากการศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบ
cross-sectional จึงยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่า ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่เป็นปัญหานั้นเป็นเหตุหรือเป็นผลของปัญหาสุขภาพจิต
ผลการศึกษาที่น่าสนใจและน่าจะนำไปใช้ในการดำเนินงานด้านสุขภาพจิตได้มากคือการที่พบว่า
การมีบุคคลในครอบครัวเจ็บป่วยทางจิตหรือเจ็บป่วยร้ายแรงมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตอย่างชัดเจน
ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาส่วนใหญ่ที่ผ่านมา31-34
การมีบุคคลในครอบครัวเจ็บป่วยร้ายแรงไม่ว่าจะเป็นทางจิตหรือทางกายนั้นส่งผลกระทบต่อบุคคลในครอบครัวหลายประการทั้งในด้านค่ารักษาพยาบาล
ความรู้สึกสูญเสีย การต้องรับภาระในการดูแล และผลกระทบต่อบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในครอบครัว35,36
โดยเฉพาะการป่วยทางจิตเวช สมาชิกในครอบครัวอาจไม่เข้าใจ รู้สึกอับอาย
และมีปัญหาจากพฤติกรรมที่ผิดปกติหรือเป็นอันตรายของผู้ป่วย34,37-39
บุคคลากรทางการแพทย์และด้านสุขภาพจิตจึงควรให้ความสนใจ และให้การช่วยเหลือทางจิตใจแก่ครอบครัวของผู้ป่วยด้วย
ทั้งในแต่ละครอบครัว และโดยการทำกลุ่มครอบครัว ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่ได้ผลดีมาก35,36,40
จากผลการศึกษาโดยรวมจะเห็นได้ว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับสุขภาพจิตอย่างมากคือเหตุการณ์ด้านลบในชีวิต
และปัญหาด้านจิตสังคมต่างๆ และระดับเศรษฐฐานะ การวางแผนงานสุขภาพจิตจึงควรมุ่งไปที่กลุ่มเสี่ยงต่างๆ
คือกลุ่มที่มีปัญหาเศรษฐฐานะ มีปัญหาสุขภาพ และมีปัญหาต่างๆในชีวิตเช่นการมีบุคคลในครอบครัวเจ็บป่วยทั้งทางจิตและทางกาย
รวมทั้งปัญหาด้านการงานและการเรียน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่มีปัญหาหลายๆด้านพร้อมกันซึ่งพบว่ามีแนวโน้มจะมีปัญหาสุขภาพจิตสูงมาก
โดยกลุ่มที่มีเหตุการณ์ชีวิตด้านลบหรือปัญหาจิตสังคมตั้งแต่ 3 เรื่องขึ้นไปจะมีโอกาสที่จะมีปัญหาจิตเวชสูงถึง
3 เท่าของกลุ่มที่ไม่มีปัญหา ( OR = 3.0531, 95% confidence interval
= 2.0416 - 4.5653)
เอกสารอ้างอิง
1. Sukying C, Nilchaikovit
T, Silpakit C. One-month prevalence of psychiatric illness in Nongchok
district, Bangkok. Ramathibodi Med J 1995; 18: 253-60.
2. อัมพร โอตระกูล, เจตน์สันติ์
แตงสุวรรณ, เยาวรัตน์ ปรปักษ์ขาม. ปัญหาสุขภาพจิตใน เขตเมือง. วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
2525; 27: 121-33.
3. ส่งศรี จัยสิน, จันทร์เพ็ญ
ชูประภาวรรณ, เรไร ทีวะทัศน์, สุภาภรณ์ ทองดารา, ฉันทนา ชูบุญราษฎร์.
การสำรวจสภาวะสุขภาพจิตของประชาชนจังหวัดชลบุรี. วารสาร สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
2531; 33: 119-27.
4. ธรณินทร์ กองสุข, ศรีสอางค์
ม่วงสะอาด, วนิภา ลัดดาวัลย์, แก้วศรี จาตกานนท์, ประไพ ศรีสวัสดิ์,
สะอ้าน สอนสีดา. การสำรวจสภาวะสุขภาพจิตของประชาชนจังหวัดเลย. ราย
งานการวิจัยเสนอในการประชุมวิชาการประจำปีของสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
ครั้งที่ 20, โรงแรมเซ็นทรัลพลาซ่า กรุงเทพมหานคร, กรกฎาคม 2535.
5. Goldberg D. The detection
of psychiatric illness by questionaire. Maudsley Monograph No 21.
London: Oxford University Press, 1972.
6. Finlay-Jones R, Burvill
P. The prevalence of minor psychiatric morbidity in the community.
Psychol Med 1977; 7: 475-89.
7. DArcy C. Prevalence and
correlates of nonpsychotic psychiatric symptoms in the general population.
Can J Psychiatry 1982; 27: 316-24.
8. Siciliani O, Bellantuono
C, Williams P, Tansella M. Self-reported use of psychotropic drugs
and alcohol abuse in South Verona. Psychol Med 1985; 15: 821-6.
9. Vazquez-Barquero J, Diez-Manrique
J, Pena C, et al. A community mental health survey in Cantabria:
a general description of Morbidity. Psychol Med 1987; 17: 227-41.
10. Cox B, Blaxter M, Buckle
A, et al. The Health and Lifestyle Survey. Cambridge: Health Promotion
Research Trust, 1987.
11. Hodiamont P, Peer N, Syben
N. Epidemiological aspects of psychiatric disorder in a Dutch health
area. Psychol Med 1987; 17: 495-505.
12. Henderson S, Duncan-Jones
P, Byrne DG, Scott R, Adcock S. Psychiatric disorder in Canberra.
Acta Psychiat Scand 1979; 60: 355-74.
13. Vazquez-Barquero J, Diez-Manrique
J, Pena C, Quintanal R, Labrador Lopez M. Two stage design in a
community survey. Br J Psychiatry 1986; 149: 88-97.
14. Andrews G, Schonell M,
Tennant C. The relation between physical, psychological, and social
morbidity in a surburban community. Am J Epidemiol 1977; 105: 324-9.
15. Corney R. The mental and
physical health of clients referred to social workers in a local
authority department and a general practice attachment scheme. Psychol
Med 1984; 14:137-44.
16. Goldberg D, Williams P.
A users guide to the General Health Questionnaire. Berkshire: NFER-NELSON
Publishing Co Ltd, 1991: 78-80.
17. ธนา นิลชัยโกวิทย์, จักรกฤษณ์
สุขยิ่ง, ชัชวาลย์ ศิลปกิจ. ความเชื่อถือได้และความแม่น ตรงของ General
Health Questionnaire ฉบับภาษาไทย. วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่ง ประเทศไทย
2539; 41: 2-17.
18. Regier D, Farmer M, Rae
D, et al. One-month prevalence of mental disorders in the United
States and sociodemographic characteristics: The epidemiologic Catchment
Area Study. Acta Psychiatr Scand 1993; 88: 35-47.
19. Kessler R, McGonagle K,
Zhao S, et al. Lifetime and 12-month prevalence of DSM-3-R psychiatric
disorders in the United States. Arch Gen Psychiatry 1994; 51: 8-19.
20. Holzer C, Shea Birthday,
Swanson J, et al. The increased risk for specific psychiatric disorders
among persons of low socioeconomic status. Am J Psychiatry 1986;
143: 259-71.
21. Myers J. Social factors
related to psychiatric disorders. Soc Psychiatry Psychiatr Epidemiol
1984; 19: 53-61.
22. Lai G. Work and family
roles and psychological well-being in urban China. J Health Soc
Behav 1995; 36: 11-37.
23. Kessler R, House J, Turner
JB. Unemployment and health in a community sample. J Health Soc
Behav 1987; 28:51-9.
24. Homer M. Links between
unemployment and mental health problems. Nurs Times 1994; 90: 42-4.
25. Meleis AI, Lipson J, Paul
S. Ethnicity and health among five Middle Eastern immigrant groups.
Nurs Res 1992; 41: 98-103.
26. Tsoi WP, Kok LP. Mental
disorders in Singapore. In: Lin TY, Tseng WS, Yeh EK, eds. Chinese
societies and mental health. Hong Kong: Oxford University Press,
1995: 266-78.
27. Broadhead W, Kaplan Birthday,
James S, et al. The epidemiological evidence for a relationship
between social support and health. Am J Epidemiol 1983; 117: 521-37.
28. Henderson A. Intepreting
the evidence on social support. Soc Psychiatry 1984; 19: 49-52
29. George L, Blazer D, Hughes
D, Fowler N. Social support in the outcome of major depression.
Br J Psychiatry 1989; 154: 478-85.
30. Dressler W. Extended family
relationships, social support, and mental in a Southern Black community.
J Health Soc Behav 1985; 26: 39-48.
31. Gallagher D, Rose J, Rivera
P, et al. Prevalence of depression in family caregivers. Gerontol
Soc America 1989; 29: 449-56.
32. Rabins P, Fitting M, Eastham
J, et al. The emotional impact of caring for the chronically ill.
Psychosomatics 1990; 31: 331-5.
33. Patrick C, Padgett D, Schlesinger
H, Cohen J, Burns B. Serious physical illness as a stressor: effects
on family use of medical services. Gen Hosp Psychiatry 1992; 14:
219-27.
34. Loukissa D. Family burden
in chronic mental illness: a review of research studies. J Adv Nurs
1995; 21:248-55.
35. Jacobs J. Family therapy
in the context of chronic medical illness. In: Stoudemire A, Fogel
B, eds. Psychiatric care of the medical patient. New York: Oxford
University Press, 1993: 19-30.
36. Rait D, Lederberg M. The
family of the cancer patient. In: Holland J, Rowland J, eds. Handbook
of psychooncology. New York: Oxford University Press, 1989: 585-97.
37. Winefield H, Harvey E.
Needs of family caregivers in chronic schizophrenia. Schizophr Bull
1994; 20: 557-66.
38. Winefield H, Harvey E.
Determinants of psychological distress in relatives of people with
chronic schizophrenia. Schizophr Bull 1993; 19:619-25.
39. Parker B. Living with mental
illness: the family as caregiver. J Psychosoc Nurs Ment Health Serv
1993; 31: 19-21.
40. Peternelj-Taylor C, Hartley
V. Living with mental illness: professional/family collaboration
. J Psychosoc Nurs Ment Health Serv 1993; 31: 23-8.