และมีถึงร้อยละ
12 ที่มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย ส่วนผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาล ที่ป่วยด้วยโรคอื่นๆ
พบว่ามีอาการซึมเศร้าประมาณร้อยละ 22-244,5 และมีอาการวิตกกังวล
ประมาณร้อยละ 4-14 6-8 แต่ปรากฏว่า ปัญหาทางอารมณ์และจิตใจของผู้ป่วยทั้งในผู้ป่วยทั่วไป9-13
และผู้ป่วยโรคมะเร็ง14 มักถูกละเลย และไม่ได้รับการช่วยเหลือมากเท่าที่ควร
งานวิจัยชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนาเครื่องมือคัดกรองอาการวิตกกังวล
และอาการซึมเศร้าฉบับภาษาไทยที่มีความแม่นตรงและความน่าเชื่อถือได้ขึ้น
สำหรับใช้ในผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคทางกายโดยเฉพาะสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง
เพื่อช่วยให้บุคคลากรทางการแพทย์สามารถคัดกรองผู้ป่วยที่มีปัญหาดังกล่าวออกมาได้ในขั้นต้น
โดยแปลจาก Hospital Anxiety and Depression Scale ฉบับภาษาอังกฤษของ
Zigmond และ Snaith15 ซึ่งเป็นแบบคัดกรองปัญหาอาการวิตกกังวลและอาการซึมเศร้า
ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางที่สุดฉบับหนึ่ง และแม้ว่าจะเริ่มพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในผู้ป่วยทั่วไปในโรงพยาบาล
ต่อมาพบอีกว่าสามารถใช้ในการสำรวจปัญหาอาการวิตกกังวลและอาการซึมเศร้า
ในกลุ่มประชากรทั่วไป16 และผู้ป่วยจิตเวช17-19 ได้ดีเช่นกัน
ได้มีการแปล
และทำการศึกษาความแม่นตรงของ HADS ในภาษาต่างๆ หลายภาษา เช่น ภาษาจีน20
อราบิค21,22 เออร์ดู23 อิสราเอล ญี่ปุ่น และชาติต่างๆในยุโรปหลายชาติ16,24
และได้มีการศึกษาความแม่นตรงในผู้ป่วยกลุ่มต่างๆ หลายกลุ่ม เช่น ผู้ป่วยเวชปฏิบัติทั่วไป25,26
ผู้ป่วยโรคหัวใจ27 ผู้ป่วยโรคผิวหนัง28 ผู้ป่วยจิตเวช17-19
ผู้ป่วยโรคระบบสืบพันธ์และทางเดินปัสสาวะ29 และผู้ป่วยโรคมะเร็ง30-33
และผู้ป่วยทันตกรรม34
HADS เป็นแบบสอบถามที่ให้ผู้ป่วยตอบด้วยตนเอง
ประกอบด้วยคำถามรวม 14 ข้อ แบ่งเป็นคำถามสำหรับอาการวิตกกังวล 7 ข้อ
คือข้อที่เป็นเลขคี่ทั้งหมด และสำหรับอาการซึมเศร้าอีก 7 ข้อ คือข้อที่เป็นเลขคู่ทั้งหมด
การให้คะแนนคำตอบแต่ละข้อเป็นแบบ Likert scale มีคะแนนข้อละตั้งแต่
0-3 คะแนน การคิดคะแนนแยกเป็นส่วนของอาการวิตกกังวล และอาการซึมเศร้า
มีพิสัยของคะแนนในแต่ละส่วนได้ตั้งแต่ 0-21 คะแนน คะแนน 0-7 เป็นกลุ่มที่ไม่มีความผิดปกติทางจิตเวช
คะแนน 8-10 เป็นกลุ่มที่มีอาการวิตกกังวลหรืออาการซึมเศร้าสูง แต่ยังไม่ผิดปกติชัดเจน
(doubtful cases) และคะแนน 11-21 เป็นกลุ่มที่มีอาการวิตกกังวล หรืออาการซึมเศร้าในขั้นที่ถือว่าเป็นความผิดปกติทางจิตเวช
(cases)
วัสดุและวิธีการ
กลุ่มประชากรที่ศึกษาเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งในหอผู้ป่วยในของโรงพยาบาลรามาธิบดี
ของภาควิชาศัลยศาสตร์ และภาควิชาสูตินรีเวชศาสตร์ จำนวน 60 ราย ที่สามารถอ่านและเข้าใจภาษาไทยดีพอที่จะเข้าใจแบบสอบถามได้
และยินดีให้ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถามและการให้สัมภาษณ์
เครื่องมือที่ใช้คือ
HADS ฉบับภาษาไทย ซึ่งผู้รายงานได้แปลจากภาษาอังกฤษ แล้วนำไปให้จิตแพทย์อีกท่านหนึ่งซึ่งมีความชำนาญภาษาอังกฤษดีเท่าเทียมกับภาษาไทย
และไม่เคยเห็นต้นฉบับ HADS ฉบับภาษาอังกฤษมาก่อน แปลกลับเป็นภาษาอังกฤษ
เพื่อนำมาตรวจสอบว่าการแปลเป็นไทยทำให้ความหมายผิดไปจากต้นฉบับภาษาอังกฤษหรือไม่
และนำแบบสอบถามภาษาไทยที่พัฒนาขึ้นมาทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วย
และบุคคลทั่วไป จำนวน 20 คน เพื่อทดสอบปัญหาในการเข้าใจแบบสอบถาม แล้วนำมาขัดเกลาสำนวนภาษาในขั้นสุดท้ายโดยพยายามให้คงความหมายเดิมไว้ให้มากที่สุด
จนได้ HADS ฉบับภาษาไทยที่นำมาใช้ (ดูภาคผนวก)
วิธีการศึกษาทำโดยให้ผู้ป่วยตอบแบบสอบถาม
HADS ฉบับภาษาไทย และนำมาเปรียบเทียบกับการวินิจฉัยของจิตแพทย์ผู้ทำการศึกษา
ซึ่งสัมภาษณ์ผู้ป่วยโดยใช้ semistructure psychiatric interview สำหรับวินิจฉัยอาการวิตกกังวลและอาการซึมเศร้า
ที่พัฒนาขึ้นโดยคณะผู้ทำการศึกษาตามแนวทางเกณฑ์การวินิจฉัยโรควิตกกังวล
และโรคซึมเศร้าของ DSM-III-R35 โดยไม่ทราบผล HADS
จากการสัมภาษณ์
จิตแพทย์จะวินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีอาการวิตกกังวล และซึมเศร้าหรือไม่
โดยให้คะแนนเป็น 5 ระดับคือ คะแนน 0 = ไม่มีอาการ 1 = มีอาการเล็กน้อย
(mild) 2 = มีอาการน้อยกว่าระดับปานกลาง (less than moderate) 3 =
มีอาการในระดับปานกลางถึงค่อนข้างรุนแรง (moderate to severe) และ
4 = มีอาการรุนแรง (severe) ผู้ที่ได้คะแนน 0 และ 1 ถือเป็นกลุ่มที่ไม่มีความผิดปกติทางจิตเวช
(non-cases) ผู้ที่ได้คะแนน 2 เป็นกลุ่มที่อาจมีความผิดปกติทางจิตเวชแต่ยังไม่ชัดเจน
(doubtful cases) และผู้ที่ได้คะแนน 3 และ 4 เป็นกลุ่มที่มีอาการวิตกกังวลหรือซึมเศร้าอยู่ในขั้นที่ถือว่าเป็นความผิดปกติทางจิตเวช
(cases) โดยจิตแพทย์ผู้สัมภาษณ์ทั้งสองราย ได้ฝึกทำการสัมภาษณ์ร่วมกัน
และทำการทดสอบ interrater reliability ในการให้การวินิจฉัยอาการวิตกกังวล
และอาการซึมเศร้าในผู้ป่วย 10 ราย ได้ค่า interrater reliability สำหรับอาการวิตกกังวล
kappa = 1 คือมีความเห็นตรงกันทั้งหมด และสำหรับอาการซึมเศร้า kappa
= 0.64
การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตรวจสอบความแม่นตรงของ
Thai HADS ทำโดยหาค่าความไว (sensitivity) และความจำเพาะ (specificity)
ของ HADS ฉบับภาษาไทย ในการวินิจฉัยอาการวิตกกังวลและอาการซึมเศร้า
เมื่อเปรียบเทียบกับการวินิจฉัยของจิตแพทย์ ที่จุดตัดคะแนน (cut-off
point) ต่างๆ และทดสอบความเห็นพ้องระหว่างคะแนนของ Thai HADS กับการวินิจฉัยของจิตแพทย์
โดยใช้ค่า kappa และการทดสอบไคสแควร์ และหาค่าสหสัมพันธ์ (correlations)
ระหว่างระดับความรุนแรงของอาการจากการวินิจฉัยของจิตแพทย์ กับคะแนนรวมของแต่ละ
sub-scale โดยใช้ Spearmans correlations และใช้การวิเคราะห์ปัจจัย
(factor analysis) วิเคราะห์องค์ประกอบหลัก (principal components)
เพื่อตรวจสอบ construct validity ส่วนการทดสอบความน่าเชื่อถือได้ (reliability)
ทำโดยหาค่า Cronbachs alpha coefficients ของ sub-scale ทั้งสอง และหาค่าสหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนของคำถามแต่ละข้อกับคะแนนรวมของ
sub-scale แต่ละ sub-scale (item-total correlation) โดยใช้ Pearson
product moment correlations
ผลการวิจัย
ทำการศึกษาในผู้ป่วยทั้งสิ้นจำนวน
60 คน อายุตั้งแต่ 20-76 ปี อายุเฉลี่ย 46 ปี เป็นชาย 27 คน หญิง 33
คน ผู้ป่วยทั้งหมดป่วยเป็นโรคมะเร็งในระบบต่างๆ เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด
มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งรังไข่ คะแนนของ Thai HADS สำหรับ anxiety
sub-scale มีค่าเฉลี่ย 4.98 คะแนน โดยคะแนนต่ำสุดคือ 0 และคะแนนสูงสุดคือ
18 ส่วน depression sub-scale มีคะแนนเฉลี่ย 5.23 โดยคะแนนต่ำสุดคือ
0 และคะแนนสูงสุดคือ 21
การตรวจสอบความแม่นตรงของการคัดกรองความผิดปกติโดย
Thai HADS เมื่อเปรียบเทียบกับการวินิจฉัยของจิตแพทย์ พบว่าถ้าใช้เกณฑ์การให้คะแนนตามที่
Zigmond และ Snaith กำหนดไว้ใน HADS ฉบับภาษาอังกฤษคือ คะแนน 0-7 เป็นกลุ่มที่ไม่มีความผิดปกติทางจิตเวช(non-cases)
คะแนน 8-10 เป็นกลุ่มที่อาจมีความผิดปกติทางจิตเวช (doubtful cases)
และคะแนน 11-21 เป็นกลุ่มที่มีความผิดปกติทางจิตเวช (cases) สำหรับอาการวิตกกังวลจะมี
false positive rate เท่ากับ ร้อยละ 2.5 และไม่มี false negative case
เลย ส่วนอาการซึมเศร้ามี false positive rate เท่ากับ ร้อยละ 5.4 และ
false negative rate เท่ากับ ร้อยละ 7.14 (ตารางที่ 1)
ในการคำนวณหาค่าความไว
และความจำเพาะของ Thai HADS ในแต่ละ sub-scale เมื่อเปรียบเทียบกับการวินิจฉัยของจิตแพทย์พบว่า
จุดตัดคะแนนที่คะแนน >11 เป็นจุดที่เหมาะสมที่สุด (ตารางที่
2) โดยมีความไว (sensitivity) เท่ากับร้อยละ 100 และความจำเพาะ (specificity)
เท่ากับร้อยละ 86 สำหรับอาการวิตกกังวล และมีความไว (sensitivity)
เท่ากับร้อยละ 85.71 และความจำเพาะ (specificity) เท่ากับร้อยละ 91.3
สำหรับอาการซึมเศร้า
และที่คะแนน
> 11 นี้ Thai HADS มีความเห็นพ้องกับการวินิจฉัยทางคลินิกคิดเป็นร้อยละ
88.33 สำหรับอาการวิตกกังวล และร้อยละ 90 สำหรับอาการซึมเศร้า โดยเกิดนอกเหนือความบังเอิญอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
(P < 0.0001, kappa = 0.67 สำหรับอาการวิตกกังวล และ P<0.0001,
kappa = 0.73 สำหรับอาการซึมเศร้า) ค่าต่างๆของ Thai HADS ที่จุดตัดคะแนน
> 11 แสดงไว้ในตารางที่ 3 นอกจากนี้คะแนนรวมของแต่ละ sub-scale
กับคะแนนที่จิตแพทย์ให้ตามระดับความรุนแรงของอาการวิตกกังวลและอาการซึมเศร้าในการวินิจฉัยทางคลินิก
จากการวิเคราะห์หาค่าสหสัมพันธ์ (correlations) โดยใช้ Spearmans
correlations ก็มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญด้วย โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์
r = 0.78 , P < .0001 สำหรับอาการวิตกกังวล และ r = 0.68, P <
.0001 สำหรับอาการซึมเศร้า
ในการตรวจสอบความเชื่อถือได้
พบว่าค่าความสอดคล้องภายใน (internal consistency) สำหรับทั้ง 2 sub-scale
ของ Thai HADS จากการวิเคราะห์โดยใช้วิธีของ Cronbach อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ
โดยมีค่า alpha coefficients เท่ากับ 0.8551 สำหรับ anxiety sub-scale
และ 0.8259 สำหรับ depression sub-scale และในการวิเคราะห์ item-subscale
correlations ก็พบว่าคำถามทุกข้อในทั้ง 2 sub-scale มีค่าสหสัมพันธ์กับคะแนนรวมของคำถามข้ออื่นอยู่ในเกณฑ์ดี
โดยมีค่าสหสัมพันธ์ (r) ตั้งแต่ +0.47 ถึง +0.63 (P < 0.001) สำหรับ
anxiety sub-scale และมีค่าสหสัมพันธ์ (r) ตั้งแต่ +0.31 ถึง +0.67
(P < 0.001) สำหรับ depression sub-scale (ตารางที่ 4)
ในการวิเคราะห์ปัจจัย
(factor analysis) เพื่อวิเคราะห์หาองค์ประกอบหลักของ Thai HADS โดยใช้วิธี
Varimax rotation พบว่าตัวแปรหรือข้อคำถามทั้ง 14 ข้อ สามารถแบ่งออกได้เป็น
2 ปัจจัย โดยปัจจัยแรกมีค่า eigenvalue 6.514 ครอบคลุมตัวแปรร้อยละ
46.5 และปัจจัยที่ 2 มีค่า eigenvalue 1.235 ครอบคลุมตัวแปรร้อยละ
8.8
ปัจจัยแรกประกอบด้วยคำถามรวม
8 ข้อ คือข้อ 7, 13, 10, 5, 11, 1, 8, 3 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคำถามใน anxiety
sub-scale ยกเว้นข้อ 10 และ 8 ที่เป็นคำถามใน depression sub-scale
ส่วนปัจจัยที่ 2 ประกอบด้วยคำถามรวม 6 ข้อ คือข้อ 4, 2, 12, 6, 9,
และ 14 ตามลำดับ โดยส่วนใหญ่เป็นข้อคำถามใน depression sub-scale ยกเว้นข้อ
9 เพียงข้อเดียว (ตารางที่ 5)
วิจารณ์
Thai HADS ที่ได้พัฒนาขึ้นมีค่าความแม่นตรงและความเชื่อถือได้อยู่ในเกณฑ์ดี
จากการเปรียบเทียบความไว และความจำเพาะในการคัดกรองอาการวิตกกังวล
และอาการซึมเศร้า ที่จุดตัดคะแนนต่างๆ พบว่าจุดตัดคะแนนที่ คะแนน >
11 เป็นจุดตัดร่วมที่ดีที่สุดสำหรับทั้ง 2 sub-scale ในการศึกษานี้ไม่ได้ใช้
Receiver Operating Characteristic (R.O.C.) analysis ในการกำหนดจุดตัดคะแนน
เพราะต้องการให้ทั้ง 2 sub-scale มีจุดตัดคะแนนที่จุดเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการใช้เครื่องมือ
ส่วนการกำหนดเกณฑ์คะแนนในลักษณะที่แบ่งระดับการวินิจฉัยเป็น 3 ระดับ
ได้เลือก กำหนดตามที่ Zigmond และ Snaith15 กำหนดไว้เดิม
คือคะแนน 0-7 ไม่มีความผิดปกติ คะแนน 8-10 เป็นกลุ่มที่อาจมีความผิดปกติ
และคะแนน 11-21 มีอาการวิตกกังวล หรืออาการซึมเศร้า ในระดับที่เป็นความผิดปกติทางจิตเวช
การใช้ HADS
ในการศึกษาต่างๆ นั้น มีผู้ใช้จุดตัดคะแนนทั้งที่ คะแนน >
8 เช่นการศึกษาของ Andrews และคณะ36 , Wilkinson และ Barczak26,
Hamer และคณะ19 และ Moorey และคณะ37 เป็นต้น
และใช้จุดตัดที่คะแนน > 11 เช่น Lewis และ Wessely28
การศึกษาของ Carroll และคณะในผู้ป่วยโรคมะเร็ง38 ใช้จุดตัดคะแนนทั้งสองจุดเปรียบเทียบกัน
และเสนอว่า จุดตัดคะแนนที่ > 11 คะแนน น่าจะบ่งถึงความผิดปกติทางจิตเวชตามเกณฑ์การวินิจฉัยของ
DSM-III-R ได้ดีกว่า ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาในครั้งนี้ และในการศึกษาครั้งนี้ยังพบว่า
นอกจากจะใช้ในการคัดกรองความผิดปกติได้แล้ว Thai HADS ยังสามารถบ่งถึงระดับความรุนแรงของอาการซึมเศร้าและอาการวิตกกังวลได้ด้วย
เนื่องจากระดับคะแนนของ Thai HADS มีความสัมพันธ์กับระดับความรุนแรงของอาการตามการวินิจฉัยของจิตแพทย์
ในการทำการวิเคราะห์ปัจจัย
(factor analysis) พบว่าคำถามทั้งหมดใน Thai HADS แบ่งออกได้เป็น 2
ปัจจัยหลัก ปัจจัยแรกเกี่ยวกับอาการวิตกกังวล ประกอบด้วยคำถามรวม 8
ข้อ คือข้อ 7, 13, 5, 11, 1, และ 3 ซึ่งเป็นคำถามใน anxiety sub-scale
และข้อ 10 และ 8 ซึ่งเป็นคำถามใน depression sub-scale ส่วนปัจจัยที่
2 เกี่ยวกับอาการซึมเศร้า ประกอบด้วยคำถามรวม 6 ข้อ คือข้อ 4, 2, 12,
6, และ 14 ซึ่งเป็นคำถามใน depression sub-scale และข้อ 9 จาก depression
sub-scale การที่พบคำถามข้อ 10 และข้อ 8 รวมอยู่ในปัจจัยที่เกี่ยวกับความวิตกกังวลนั้น
อาจเกิดจากลักษณะเฉพาะของผู้ป่วยกลุ่มที่ทำการศึกษา ซึ่งเป็นผู้ป่วยในที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
และมีอาการค่อนข้างมาก
อาการในข้อ
8 คือคิดอะไรทำอะไรเชื่องช้าลงกว่าเดิม เป็นอาการที่อาจพบได้ในผู้ป่วยอาการหนักอยู่แล้ว
เช่นเดียวกับการปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไม่สนใจตนเอง ในการหาค่าสหสัมพันธ์ระหว่างข้อคำถามใน
sub-scale ก็พบว่า ข้อ 8 และข้อ 10 นี้เป็นคำถามที่มีค่า item-total
correlations ต่ำที่สุดใน depression sub-scale (ตารางที่ 4) ด้วยเช่นกัน
ส่วนการที่คำถามทั้งสองข้อมีความสัมพันธ์กับปัจจัยที่เกี่ยวกับอาการวิตกกังวลมากกว่านั้น
อาจเป็นเพราะผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น เพิ่งทราบการวินิจฉัย หรือมีการกลับเป็นมะเร็งขึ้นใหม่
หลังจากอาการสงบไปแล้ว มักจะมีอาการวิตกกังวลสูงร่วมด้วย จึงเกิดความสัมพันธ์ระหว่างอาการดังกล่าวกับความวิตกกังวลมากกว่าอาการซึมเศร้า
ส่วนการที่คำถามข้อ
9 กลับไปอยู่ในปัจจัยที่เกี่ยวกับอาการซึมเศร้านั้น อาจเป็นปัญหาที่เป็นจุดอ่อนของข้อคำถาม
เนื่องจากความแตกต่างทางวัฒนธรรม ทำให้มีปัญหาในการแปล คือ คำถามเดิมใช้สำนวน
butterflies in the stomach ซึ่งไม่มีสำนวนที่ตรงหรือมีความหมายใกล้เคียงกันในสังคมไทย
การแปลเป็นภาษาไทย ได้ใช้ข้อความว่า ฉันรู้สึกไม่สบายใจจนทำให้รู้สึกปั่นป่วนในท้อง
ซึ่งมีความชัดเจนน้อยกว่าความหมายเดิมที่ใช้ในวัฒนธรรมตะวันตก และปัญหาที่พบเกี่ยวกับคำถามข้อ
9 นี้เป็นปัญหาที่ El-Rufaie และ Absood21 ประสบในการแปล
HADS เป็นภาษาอราบิคเช่นกัน
อย่างไรก็ตามผลการศึกษาโดยรวมก็แสดงให้เห็นว่า
HADS เป็นเครื่องมือที่แยกออกเป็นสองปัจจัยอย่างค่อนข้างเด่นชัด และสามารถแยกอาการวิตกกังวล
กับอาการซึมเศร้าออกจากกันได้ชัดเจน
ผลการศึกษาแสดงว่า
Hospital Anxiety and Depression Scale ฉบับภาษาไทยที่ได้พัฒนาขึ้นนี้
สมควรจะนำมาใช้เป็นแบบคัดกรองอาการวิตกกังวล และอาการซึมเศร้าของผู้ป่วยไทยในโรงพยาบาล
โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งได้ดี เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่สั้น กระทัดรัด
และมีค่าความแม่นตรง และความเชื่อถือได้อยู่ในเกณฑ์ดี และควรส่งเสริมให้ทำการศึกษาหาความแม่นตรง
และความเชื่อถือได้ ในผู้ป่วยกลุ่มอื่นๆ เช่น ผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาลทั่วไปในชุมชน
ผู้ป่วยจิตเวช และผู้ป่วยโรคอื่นๆ รวมทั้งในการใช้เป็นเครื่องมือคัดกรองปัญหาสุขภาพจิตในชุมชน
ต่อไป
เอกสารอ้างอิง
1. Deratogis
LR, Morrow GR, Fetting J, et al. The prevalence of psychiatric disorders
among cancer patients. JAMA 1983; 249: 751-7.
2. Bukburg
JB, Penman DT, Holland JC. Depression in hospitalized cancer patients.
Psychosom Med 1984; 46: 199-212.
3. Plumb MM,
Holland JC. Comparative studies of psychological function in patients
with advanced cancer, 1: Self reported depressive symptoms. Psychosom
Med 1977; 39: 264-76.
4. Schwab JJ,
Bialon M, Brown JM, et al. Diagnosing depression in medical inpatients.
Ann Intern Med 1967; 67: 695-707.
5. Moffic H,
Paykel ES. Depression in medical inpatients. Br J Psychiatry 1975;
126: 346-53.
6. Strain JJ,
Liebowitz MR, Klein DF. Anxiety and panic attacks in the medically
ill. Psychiatr Clin North Am 1981; 4: 333-50.
7. Barrett
JE, Barrett JA, Oxman TE, et al. The prevalence of psychiatric disorder
in a primary practice. Arch Gen Psychiatry 1988; 45: 1100-6.
8. Wells KB,
Golding JM, Burnam MA. Affective, substance use, and anxiety disorders
in persons with arthritis, diabetes, heart disease, high blood pressure,
or chronic lung conditions. Gen Hosp Psychiatry 1989; 11: 320-7.
9. Knights
E, Folstein M. Unsuspected emotional and cognitive disturbance in
medical patients. Ann Intern Med 1977; 87: 723-4.
10. Thompson
TL, Stoudemire A, Mitchell WE. Under-recognition of patients psychosocial
distress in a university hospital medical clinic. Am J Psychiatry
1983; 140: 158-61.
11. Linn LS,
Yager J. Recognition of depression and anxiety by primary physicians.
Psychosomatics 1984; 25: 593-600.
12. Schulberg
HC, Saul M, McClelland MN, et al. Assessing depression in primary
medical and psychiatric practices. Arch Gen Psychiatry 1985; 42:
1164-70.
13. Wells KB,
Stewart A, Hays R, et al. Detection of depressive disorders for
patients receiving prepaid or fee-for-service care. JAMA 1989; 262:
3298-302.
14. Deratogis
LR, Abeloff MD, McBeth CD. Cancer patients and their physicians
in the perception of psychological symptoms. Psychosomatics 1976;
17: 197-201.
15. Zigmond
AS, Snaith RP. The hospital anxiety and depression scale. Acta Psychiatr
Scand 1983; 67: 361-70.
16. Snaith
RP. Availability of Hospital Anxiety and Depression (HAD) Scale.
Br J Psychiatry 1992; 161: 422.
17. Bramley
PN, Easton AME, Morley S, et al. The differentiation of anxiety
and depression by rating scales. Acta Psychiatr Scand 1988; 77:
136-9.
18. Nayani
S. The evaluation of psychiatric illness in Asian patients by the
Hospital Anxiety and Depression Scale. Br J Psychiatry 1989; 155,
545-7.
19. Hamer D,
Sanjeev D, Butterworth E, Barczak P. Using the Hospital Anxiety
and Depression Scale to screen for psychiatric disorders in people
presenting with deliberate self-harm. Br J Psychiatry 1991; 158:
782-4.
20. Leung CM,
Ho S, Kan CS, Hung CH, Chen CN. Evaluation of the Chinese version
of Hospital Anxiety and Depression Scale. A cross cultural perspective.
Int J Psychosom 1993; 40: 29-34.
21. El-Rufaie
OE, Absood G. The validity study of the Hospital Anxiety and Depression
Scale among a group of Saudi patients. Br J Psychiatry 1987; 151:
687-8.
22. Malasi
TH, Mersa IA, el Islam MF. Validation of the Hospital Anxiety and
Depression Scale in Arab patients. Acta Psychiatr Scand 1991; 84:
323-6.
23. Mumford
DB, Tareen IA, Bajwa MA, Bhatti MR, Karim R. The translation and
evaluation of an Urdu version of the Hospital Anxiety and Depression
Scale. Acta Psychiatr Scand 1991; 83: 81-5.
24. Herman
C, Scholz KH, Kreuzer H. Psycholologisches Screening von Patienten
einer kardiologischen Akutklinik mit einer deutschen Fassung der
Hospital Anxiety and Depression(HAD)-skala. Psychother Psychosom
Med Psychol 1991; 41: 83-92.
25. Aylard
PR, Gooding JH, McKenna PJ, Snaith RP. A validation study of three
anxiety and depression assessment scales. J Psychosom Res 1987;
31: 261-8.
26. Wilkinson
MJB, Barzak P. Psychiatric screening in general practice: comparison
of the general health questionaire and the Hospital Anxiety and
Depression Scale. J Royal College Gen Practitioners 1988; 38: 311-3.
27. Elliot
D. Comparison of three instruments for measuring patients anxiety
in a coronary care unit. Intensive Crit Care Nurs 1993; 9: 195-200.
28. Lewis G,
Wessely S. Comparison of the General Health Questionaire and the
Hospital Anxiety and Depression Scale. Br J Psychiatry 1990; 157:
860-4.
29. Barzack
P, Kane N, Andrews S, et al. Patterns of psychiatric morbidity in
a genitourinary clinic: a validation of the Hospital Anxiety and
Depression Scale. Br J Psychiatry1988; 152: 698-700.
30. Razavi
D, Devalux N, Farvacques C, Robaye E. Screening for adjustment disorders
and major depressive disorders in cancer in-patients. Br J Psychiatry
1990; 156: 79-83.
31. Hopwood
P, Howell A, Maguire P. Screening for psychiatric morbidity in patients
with advanced breast cancer: Validation of two self-report questionaires.
Br J Cancer 1991; 64: 353-6.
32. Ravazi
D, Devalux N, Bredart A, et al. Screening for psychiatric disorders
in a lymphoma out-patient population. Eu J Cancer 1992; 28A: 1869-72.
33. Ibbotson
T, Maguire P, Selby P, Priestman T, Wallace L. Screening for anxiety
and depression in cancer patients: the effects of disease and treatment.
Eur J Cancer 1994; 30A: 37-40.
34. Zakrzewska
JM, Feinman C. A standard way to measure pain and psychological
morbidity in dental practice. Br Dental J 1990; 169: 337-9.
35. American
Psychiatric Association. Diagnostic and Statistical Manual of Mental
Disorders. 3rd ed, revised). Washington, DC: American Psychiatric
Association, 1987.
36. Andrews
H, Barczak P, Allan RN. Psychiatric illness in patients with inflamatory
bowel disease. Gut 1987; 28: 1600-4.
37. Moorey
S, Greer S, Watson M, et al. The factor structure and factor stability
of the Hospital Anxiety and Depression Scale. Br J Psychiatry 1991;
158: 255-9.
38.Carroll
BT, Kathol RG, Noyes R Jr, Wald TG, Clamon GH. Screening for depression
and anxiety in cancer patients using the Hospital Anxiety and Depression
Scale. Gen Hosp Psychiatry 1993; 15: 69-73.
ตารางที่ 1:
เปรียบเทียบการวินิจฉัยโดย Thai HADS กับการวินิจฉัยของจิตแพทย์